AIS: 5G คือคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงใหญ่ระดับสึนามิ ธุรกิจควรตั้งรับให้ทัน

หัวข้อกระทู้ ใน 'เทคโนโลยี' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 20 กันยายน 2019.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    หนึ่งในเทคโนโลยีที่งานสัมมนา Blognone Tomorrow 2019 ให้ความสำคัญคือ 5G ที่เป็นโอกาสสำคัญของการเติบโตในเทคโนโลยีอื่นๆ มากมายเช่น IoT, ระบบ Smart City, Smart Transportation และการดูแลรักษาความปลอดภัยต่างๆ

    ในงาน Blognone Tomorrow ได้ คุณยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS มาเล่าถึงการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีโทรคมนาคมจากยุคที่ 4 (4G) ไปยุคที่ 5 (5G) ซึ่งไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงในแง่ความเร็วของการรับส่งข้อมูล แต่ยังมีเรื่องของความหน่วงที่ต่ำ ซึ่งจะมีช่วยให้เกิดการใช้งานอุปกรณ์ IoT และ Edge Computing ในหลากหลายรูปแบบ

    [​IMG]

    The G to Rule Them All


    คุณยงสิทธิ์ ระบุว่า 5G มาพร้อมกับแบนวิดธ์มหาศาล เราจะได้เห็นความเร็วสูงสุดที่ 20 Gbps ซึ่งมันเร็วกว่าที่เราเห็นในปัจจุบันมาก จำนวนอุปกรณ์จะเพิ่มขึ้นเป็นล้านจุดใน 1 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ 5G ยังมาพร้อมความหน่วงต่ำ หรือมีการตอบสนองเร็วมาก อาจเร็วถึง 1 ใน 1,000 วินาที จนแทบจะเรียกว่าไม่มีความหน่วงเลย
    [​IMG]

    สิ่งที่ 5G จะสามารถทดแทนของเดิมได้คือ นำมาแทนอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออพติกที่ใช้กันตามบ้านและสำนักงาน กล่าวคือเป็นการใช้ FWA (Fixed Wireless Access) นำ 5G มาเชื่อมต่อสัญญาณไฟเบอร์ และสายทองแดงของเดิม หมดปัญหาสายไฟรกรุงรัง สิ่งที่ตามมาคือเห็นสายไฟจะน้อยลงเยอะ

    5G ยังทำให้การใช้งานรูปแบบ Mixed Reality, AR/VR ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ใช้การประมวลผลสูงทำงานได้ลื่นไหลขึ้น และสามารถใช้งานได้แบบไร้สายไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์หรือสายต่อใดๆ
    [​IMG]

    5G ยังมาพร้อมอุปกรณ์รองรับอีกมหาศาล กรณีที่เห็นได้ชัดคือ Smart City เพราะแค่ตึกเดียว ยังต้องติดเซนเซอร์ตรวจจับเป็นหลักหมื่นชิ้น ถ้าลองจินตนาการทั้งเมือง คุณยงสิทธิ์ระบุว่าคงต้องมีอุปกรณ์รองรับเป็นหลักล้านชิ้นต่อตางรางกิโลเมตรซึ่งไม่ใช่เรื่องเกินความจริงแต่อย่างใด

    ระบบ 5G ยังสามารถนำมาสนับสนุนและตรวจสอบการทำงานของระบบขนส่งท่าเรือ, อุตสาหกรรมพลังงาน เช่น โรงไฟฟ้า ฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ โรงกลั่นน้ำมัน โดยใช้อุปกรณ์ควบคุมติดตามการทำงานของระบบต่างๆ ภายในให้เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด คุณยงสิทธิ์ระบุว่า ตอนนี้ AIS ก็ได้ทดลองใช้อุปกรณ์ตรวจจับตามท่อน้ำมันกับบริษัท ปตท. แล้ว
    [​IMG]

    5G มาพร้อมความหน่วงต่ำ และการตอบสนองความเร็วสูง ซึ่งจะช่วยให้นวัตกรรมใหม่ๆ เป็นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัดทางไกล รถไร้คนขับทางไกล, การใช้รีโมทควบคุมงานต่างๆ เช่น งานก่อสร้าง, การทำเหมือง, การใช้เครื่องจักรทำงานอันตราย เป็นต้น แต่การจะพัฒนาให้เป็นจริงได้ จำเป็นต้องพัฒนาระบบ EDGE Computing ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ทำงานได้ใกล้กับจุดที่จะทำงานมากขึ้น ไม่ให้เกิดความหน่วง

    5G ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง แต่ต้องสร้างระบบนิเวศน์ให้พร้อมสำหรับ 5G


    [​IMG]

    คุณยงสิทธิ์กล่าวว่า เราต้องเตรียมสร้างระบบนิเวศน์ให้พร้อมสำหรับ 5G เพื่อให้การใช้งานทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลาวด์เป็นส่วนสำคัญสำหรับ 5G มาก เราไม่สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์แล้วนำไปใส่ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ความฉลาดและความสามารถต่างๆของซอฟต์แวร์ จะอยู่บนคลาวด์แทน ซึ่งในคลาวด์ก็จะมี Big Data, AI ระบบประมวลผลต่างๆ ให้สามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้งานได้

    5G จะเป็นท่อใหญ่ตรงกลางที่เชื่อมความสามารถบนคลาวด์ ไปยังอุปกรณ์ที่จะรองรับอีกจำนวนมหาศาล มันจะกลายเป็นสิ่งแวดล้อมใหม่ทั้งหมด
    [​IMG]

    ความสามารถของ 5G นำมาจาก 3 แหล่งใหญ่คือ

    • Low-band คือย่านที่คลื่นความถี่ต่ำกว่า 1GHz ราว 700 - 900 MHz
    • Big-band อยู่ในช่วง 2-3 GHz ราว 1800 - 3500 MHz
    • High-band อยู่ในช่วง 20 - กว่า 30 GHz

    แต่ละย่านความถี่ มีความสามารถต่างกัน ยิ่งความถี่ต่ำ สัญญาณยิ่งไปได้ไกลแต่ละย่านก็มีความสามารถในการทะลุทะลวงต่างกัน

    High-band เป็นคลื่นใหม่ เพิ่มแบนวิดธ์การบริการได้อย่างมหาศาลซึ่งบางประเทศก็เริ่มเปิดประมูลคลื่นความถี่นี้กันแล้ว
    [​IMG]

    ส่วนในประเทศไทย การมี 5G เกิดขึ้นเท่ากับมีย่านความถี่ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา (New Radio) ดังเช่นที่เห็นในรูปภาพด้านขวามือถือ ส่วนสีฟ้าสว่าง 26GHz สีเทา 28 GHz และ สีฟ้า 3.4 GHz เป็นความถี่ที่ให้แบนวิดธ์สูง แต่ละโอเปอเรเตอร์สามารถมาใช้ได้โดยไม่ต้องไปเบียดใช้งานอยู่ในย่านความถี่ที่มีมาตั้งแต่เดิม

    5G จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2023


    คุณยงสิทธิ์ระบุว่า ปีที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของการใช้งาน 5G คือ ปี 2023 คาดการณ์ว่าจะเป็นการใช้งาน 5G ทดแทน 4G อย่างจริงจัง แต่ไม่ได้หมายความว่า 4G จะหายไป เพราะยังสามารถใช้งานคู่กันได้ต่อไปอีกยาวนาน เพราะยังมีอุปกรณ์รองรับเยอะ

    จีนจะเป็นผู้นำของโลกในการใช้งาน 5G ตามมาด้วยอเมริกา และบางประเทศในยุโรป ส่วนในไทยก็มีการคาดการณ์กันว่า จะมีสัดส่วนการใช้งาน 5G เป็น 30% ของการใช้งานทั้งหมด
    [​IMG]

    ในแง่ของอุปกรณ์ ก็จะมีการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้ามารองรับอีกจำนวนมาก เช่น กลุ่มอุปกรณ์ CPE (Customer Premises Equipment ) เช่น เราเตอร์, อุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณ อีกกลุ่มคือ wearable เช่น AR, VR กลุ่มที่สามคือ อุปกรณ์ IoT ต่างๆ ซึ่งผู้นำการผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ก็หนีไม่พ้น จีน เกาหลี และญี่ปุ่น
    [​IMG]

    5G จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2035 อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ 5G จะมีมูลค่าถึง 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีคนเกี่ยวข้อง 22 ล้านคน มีผลผลิต 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    ช่วยให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 3% ต่อปีทั่วโลก ถือเป็นการเติบโตที่สูงมาก

    แนวทางของ AIS ที่มีต่อ 5G


    [​IMG]

    AIS เองถือเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายที่ลงทุนในอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ย้อนไปยังปี 2017 ทาง AIS ได้พัฒนา Next G หรือการนำ 4G ผสานกับ AIS Super Wi-Fi ที่ให้ความเร็วสูงระดับ 1Gbps ต่อมาได้สร้าง AIAP ความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนา IoT ทั้งหลายเข้าไว้ด้วยกัน , เปิดตัวเครือข่าย NB-IoT ร่วมมือกับพันธมิตรทดสอบ 5G เป็นต้น

    ในปี 2019 บริษัท AIS ก็ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาให้การพัฒนา 5G เกิดขึ้นได้จริงในระดับแนวดิ่งของแต่ละอุตสาหกรรม, เปิดตัว Next G+ ที่สามารถให้บริการความเร็ว 18 Gbps ถือเป็นการทดลองประสบการณ์ใช้งานจริงบน 5G ให้บริการในบางจุดก่อน อีกตัวอย่างสำคัญที่ AIS ทำให้เกิดขึ้นแล้วคือ ร่วมมือกับ กสทช. และ ม. สงขลานครินทร์ ทดลองใช้ 5G ควบคุมรถไร้คนขับจากระยะไกล โดยขับรถผ่านหน้าจอและอุปกรณ์ที่กรุงเทพแต่ควบคุมรถจริงที่วิ่งอยู่หาดใหญ่

    คุณยงสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า 4G เป็นเพียงคลื่นลูกแรกของผลกระทบต่อธุรกิจ หรือ digital disruption แต่ 5G จะเป็นคลื่นสึนามิ ซึ่งมันกำลังจะมาถึงในอีก 2-3 ปี การเตรียมพร้อมรับมือสามารถทำได้เลยตั้งแต่ยุค 4G เมื่อ 5G มาถึง เราจะสามารถต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้วไปยัง 5G ได้เลย

    Topics: AIS5GBlognone Tomorrow
     

แบ่งปันหน้านี้