หุ้นไทยพุ่งแรง 19 จุด โบรกชี้ขยับตามภูมิภาค ขณะที่มีแรงซื้อจากต่างชาติกลับเข้าอีก 1 พันล้านบาท ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2557 ดัชนีตลาดหุ้นผันผวนและก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นและมาปิดตลาดที่ระดับ 1,519.38 จุดเพิ่มขึ้น 19.18 จุดคิดเป็น 1.28%มูลค่าการซื้อขายรวม 4.7 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศยังมียอดซื้อสุทธิ 1,059.97ล้านบาท ขณะที่หุ้นรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) มีรายการซื้อขายในกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) จำนวน 1,025 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 1,691.25 บาท นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นการดีดกลับตามตลาดภูมิภาคเอเชีย ที่มีเงินทุนไหลเข้ามาอีกครั้ง โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่กำลังลุ้นทดสอบจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ หากยืนเหนือ 1,525 จุดได้ จะสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากการเข้าเก็งกำไรต่อการออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อีก 3-4 กอง มูลค่าราว 5 พันล้านบาท นอกจากนี้ การส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน สร้างความกังวลต่อนักลงทุน แม้ล่าสุด รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ก็ตาม นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นแรงกว่าที่คาด เนื่องจากนักลงทุนเข้าเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพราะ เป็นช่วงเร่งงานก่อสร้างรถไฟฟ้ารางคู่ 4 เส้นทางจากการเปิดประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ค่าพีอีเรโชปัจจุบันของดัชนีตลาดหุ้นไทยแตะ 15.8 เท่า ซึ่งลดลงเพียงเล็กน้อยจากระดับสูงสุดที่ 16.2 เท่า ทำให้ฝ่ายประเมินคาดว่าการที่ค่าพีอี ยังสูงอยู่ส่งผลให้ดัชนีในระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยลงสลับกับผันผวนได้ นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 องค์กร (กกร.) ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมิ.ย. เศรษฐกิจยังฟื้นตัวอย่างจำกัด การบริโภคภาคเอกชนยังเปราะบาง แต่ยังมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการส่งออกในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 3.9% จากที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ทั้งปีคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวเพียง 1.2-1.5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะยางที่การส่งออกไปจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวดีขึ้นในเดือนก.ค. ส่วนครึ่งหลังของปีเชื่อว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมจะดีขึ้นโดยเฉพาะภาคเอสเอ็มอี โดยคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉพาะครึ่งปีหลังอยู่ที่ 4% และทั้งปีอยู่ที่ 2% อย่างไรก็ตามความชัดเจนของโรดแมพและยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาทในช่วง 8 ปีข้างหน้าจะช่วยเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนในครึ่งหลังของปีนี้ได้ Tags : ตลาดหุ้น • ต่างชาติ • วิวัฒน์ เตชะพูลผล