"ไทยพาณิชย์" ปรับยุทธศาสตร์รายย่อย เน้นขนาดพอร์ตที่เหมาะสม และปรับสัดส่วนสินเชื่อ สำหรับยุทธศาสตร์ธุรกิจรายย่อยของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เปลี่ยนไปตามสภาวะแวดล้อม โดยจะลดความสำคัญของการเร่งขยายสาขา โดยมองว่าไม่จำเป็นต้องมีจำนวนสาขามากที่สุดเหมือนเดิมแล้ว แต่ต้องอยู่ในทำเลที่ดี และมีกำไร โดยสาขาใดที่ธุรกรรมน้อย จะลดขนาดลง หากไม่ทำกำไรก็จะปิดหรือย้ายสาขา ดังนั้น นายญนน์ โภคทรัพย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในส่วนของสินเชื่อรายย่อย ธนาคารไทยพาณิชย์ จะเน้นขนาดของพอร์ตที่เหมาะสม โดยยังคงเป็นอันดับหนึ่งในสินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารมีความถนัด โดยพอร์ตสินเชื่อในขณะนี้มีอยู่ 4 แสนล้านบาท ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่ปัจจุบัน ธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อ 1.7-1.8 แสนล้านบาท ธนาคารมองว่า สัดส่วนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1.8-2 แสนล้านบาท "ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งหลังของปีดีขึ้น หลังจากการเมืองชัดเจนสามารถผลักดันมาตรการต่างๆ ออกมาได้ และการลงทุนเริ่มกลับมา แต่เชื่อว่าการฟื้นตัวคงไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านมา โดยพอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคารอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท เติบโต 5% ในปีนี้ มาจากสินเชื่อรายย่อย 7.5 แสนล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตที่ระดับ 3-5%" แม้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดมากนัก แต่ธนาคารจะให้ความสำคัญกับสัดส่วนของพอร์ตที่จะสร้างรายได้ให้ธนาคาร โดยสินเชื่อเช่าซื้อในขณะนี้ มาจากรถใหม่ 60% ส่วนรถเก่าและสินเชื่อจำนำทะเบียนมีสัดส่วน 40% เทียบกับเมื่อ 5-6 ปีก่อน ที่ธนาคารเริ่มต้นธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ มีสัดส่วนสินเชื่อรถใหม่ทั้ง 100% แต่ธนาคารตั้งเป้าว่าในปี 2-3 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อ ที่มาจากรถมือสอง และจำนำทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 50% ส่วนรถใหม่จะลดเหลือ 50% เนื่องจากธนาคารต้องการมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียน ธนาคารมีเป้าหมายที่จะสร้างพอร์ตให้เพิ่มขึ้นเป็น 70,000-100,000 ล้านบาท ใน 2-3 ปีข้างหน้า "ธุรกิจรายย่อยเราไม่จำเป็นต้องเป็นอันดับ 1 ทุกเครื่อง แต่ต้องมีขนาดของพอร์ตในระดับที่เหมาะสม สินเชื่อเช่าซื้อเราก็ไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับเบอร์หนึ่งที่มีพอร์ตกว่า 4 แสนล้าน เราควรดูทิศทางลม แต่ในระดับ 1.8-2 แสนล้านก็เพียงพอ โดยสินเชื่อเช่าซื้อจะเน้นการสร้างยีลด์ให้เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราไม่เน้นรถใหม่เพราะไม่มีกำไร หากทำก็ทำเท่าที่จำเป็น" นายญนน์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเช่าซื้อปีนี้หดตัวลงจากความเชื่อมั่นที่ปรับลดลงในครึ่งแรกของปี ขณะที่สัดส่วนหนี้ต่อรายได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ยอดขายรถปีนี้คงไม่ถึง 1 ล้านคัน โดยเฉพาะธุรกิจเช่าซื้อของธนาคารพาณิชย์ไม่ได้เติบโตมากนัก และมียอดสินเชื่อใหม่ลดลง แต่จะเห็นได้ว่าบริษัทลีสซิ่ง ซึ่งเป็นของผู้ผลิตรถยนต์เอง (Captive Financing) ได้เข้ามามีบทบาทในตลาดมากขึ้นเพื่อสนับสนุนดีลเลอร์ของตัวเอง ทำให้สัดส่วนการให้สินเชื่อปล่อยใหม่ของธนาคารพาณิชย์ลดลงเหลือ 40-60% จากก่อนหน้านี้ที่เคยอยู่ที่ 70% นายญนน์ กล่าวว่า ในส่วนของพอร์ตสินเชื่อไม่มีหลักประกันก็จะมุ่งเน้นการรักษาระดับสินเชื่อไว้ โดยพอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารในขณะนี้อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินเชื่อบุคคลและบัตรกดเงินสดอยู่ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอลในขณะนี้อยู่ที่ 2% นายญนน์ยังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจชะลอตัวธนาคารได้ลดการแข่งขันด้านราคาในการระดมเงินฝาก โดยลูกค้าส่วนหนึ่งหันไปลงทุนในกองทุนรวมแทน และยอมรับว่าบางส่วนหันไปหาเงินฝากดอกเบี้ยสูงจากสถาบันการเงินอื่น ทำให้ต้นทุนเงินฝากช่วงครึ่งแรกของปีปรับลดลง 0.4-0.5% แต่เมื่อความต้องการสินเชื่อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ธนาคารต้องเร่งหาเงินฝากมาให้เพียงพอ โดยในเร็ว ๆ นี้จะมีผลิตภัณฑ์เงินฝากออกมาอีก โดยในปีนี้มีเป้าหมายระดมเงินฝาก 1 แสนล้านบาท สำหรับการขยายสินเชื่อเอสเอ็มอีนั้นปัจจุบันธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อ 3.4-3.5 แสนล้านบาท ยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาลูกค้ารายกลางและใหญ่ต่างชะลอการลงทุนเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ลูกค้าไซส์เล็กเริ่มมีปัญหา และความเสียหายที่เกิดขึ้นต่างจากอดีตที่ผลกระทบกระจายวงกว้างมากกว่า และอยู่นาน เพราะรายได้ผู้ประกอบการหายไป โดยหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาจะเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะเอื้อต่อการลงทุนเอกชนทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และเอสเอ็มอีตามมา อย่างไรก็ตาม การเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองรวมถึงธุรกิจจำนำทะเบียนรถยนต์ของ ไทยพาณิชย์ ถือว่าสวนทางกับภาพรวมอุตสาหกรรม เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ชะลอการทำธุรกิจนี้ลง ซึ่งเป็นผลจากภาพรวมตลาดรถยนต์มือสองที่ราคาตกลงกว่า 20-30% ทำให้เมื่อลูกค้าขาดผ่อนชำระกลายเป็นเอ็นพีแอล จนทำให้ธนาคารต้องยึดรถยนต์คืน เมื่อนำรถออกขายในตลาดจึงมีผลขาดทุน Tags : ไทยพาณิชย์ • รายย่อย • พอร์ต