ต่างชาติมองหุ้นไทยแพง

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 19 สิงหาคม 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    "ก้องเกียรติ" มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเร็ว เหตุสภาพคล่องในประเทศสูง ด้านต่างชาติทยอยขายตราสารหนี้

    นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นปัจจุบันอยู่ในช่วงฮันนีมูน พีเรียด หลังจากปัญหาการเมืองมีการคลี่คลายช่วงเดือน พ.ค. ทำให้นักลงทุนมีมุมมองดี และเข้าซื้อหุ้นต่อเนื่อง โดยมองว่าภาวะนี้จะอยู่กับตลาดหุ้นไทยไปอีก 3-6 เดือน

    "ราคาหุ้นขึ้นมาตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้นักลงทุนเริ่มคาดหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้น และด้วยสภาพคล่องในประเทศค่อนข้างสูง ทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของหุ้นรอบนี้ ไม่ได้เกิดจากเงินทุนต่างชาติ แต่เกิดจากคนไทยเล่นกันเอง ส่วนนักลงทุนต่างชาติ เขาไม่ห่วงเรื่องปัญหาการเมืองในไทย แต่มองว่าหุ้นราคาแพงเกินไป ซึ่งปัจจุบันราคาปิดกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 14-15 เท่า จากค่าเฉลี่ย 10-11 เท่า"

    ตลาดหุ้นไทยต้องยอมรับว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 20%จากต้นปี หลายกลุ่มอุตสาหกรรมราคาหุ้นได้วิ่งสะท้อนความคาดหวังไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า อย่างในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แม้ภาพของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัว แต่ยังมีความเสี่ยงเรื่องการดำเนินนโยบายลงทุนต่างๆ หลังจากนี้ความเคลื่อนไหวของดัชนีจะขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร ส่วนการลงทุนแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้น ที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมากเกินไป และลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูง อย่างกลุ่ม ส่งออก กลุ่มอาหาร กลุ่มสื่อสาร

    เขากล่าวว่า ความเคลื่อนไหวเงินทุนต่างชาติ จะเห็นว่า มีทิศทางทยอยไหลออก แม้เดือนที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติจะเข้าตลาดตราสารหนี้กว่าแสนล้านบาท แต่เริ่มเห็นภาพเงินทุนต่างชาติจะไหลออกวันละ 1-2 พันล้านบาท เกิดจากนักลงทุนมองว่า ความเสี่ยงที่ธนาคารสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยเริ่มมีมากขึ้นและมีแรงบวกจาก

    ประเทศอังกฤษก็จะปรับเพิ่มขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดความร้อนแรงของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ทั้งปีปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 20 % ทั้งนี้การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีความน่าสนใจ อย่างตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมา 6 ปี เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังคงรักษาการทำนิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง

    สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทเอเซียพลัส มองว่า รายได้และกำไรจะดีกว่าปี 2555 แต่จะน้อยกว่า 2556 ที่ปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยมองว่าแนวโน้มธุรกิจน่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากมูลค่าการซื้อขายในครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรก ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบัน

    บริษัทมีจำนวนบัญชีลูกค้า 6 หมื่นบัญชี มีเคลื่อนไหวเป็นประจำ 1 ใน 4 ของทั้งหมด และมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น) บริษัทจะไม่มีนโยบายแข่งขันค่าคอมมิชชั่น โดยไม่ใช่ผู้นำเรื่องนี้ ค่าคอมมิชชั่นของบริษัทอยู่ที่ 0.1861% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 0.1618% เพราะเชื่อว่าบริษัทมีจุดแข็งด้านบทวิเคราะห์นักลงทุนจึงยังใช้บริการต่อเนื่อง โดยมีลูกค้ารายย่อย 83.93 % กลุ่มสถาบัน 8.92 % และ ต่างประเทศ 7.15% ส่วนการให้บริการออกหุ้นกู้และตั๋วเงินกู้ระยะสั้น (ตั๋วบีอี) ปีนี้คาดว่า จะไม่ต่ำกว่าปีก่อน ที่มีการออก 6 หมื่นล้านบาท เพราะเน้นทำธุรกิจกับลูกค้าต่อเนื่อง หลังจากที่นำลูกค้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะมีการช่วยในการออกหุ้นกู้ ทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ครอบคลุม

    ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ ปัจจุบันมีรายการอยู่ที่ 22 รายการ เป็นไอพีโอ 10 รายการ และ ปรับโครงสร้าง และการควบรวมกิจการ 12 รายการ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ได้จากครึ่งปีแรกนั้น 221 ล้านบาท ซึ่งเราเป็นบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญให้กับนักลงทุนสูงสุด ในอุตสาหกรรม ซึ่งเรามองว่าธุรกิจวณิชธนกิจไตรมาสที่ 2 น่าจะเป็นจุดสูงสุดในปีนี้ ส่วนผลฃการดำเนินงานในปีนี้ทะลุเป้าหมายกำไรที่ 670 ล้านบาทแน่นอน โดยครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท

    สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปีนี้ มีรายได้รวม 556.97 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 33% จากการลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ลดลง 47% และกำไรจากซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ที่ลดลง 32% โดยมีกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท

    Tags : ก้องเกียรติ โอภาสวงการ • ตลาดหุ้น • ต่างชาติ • สภาพคล่อง

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้