กลุ่มโรงแรมกำไรไตรมาส 2 ปีนี้ลดลง เหตุได้รับผลกระทบการเมืองวุ่น ฉุดธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มโรงแรมกำไรไตรมาส 2 ปีนี้ลดลง เหตุได้รับผลกระทบการเมืองวุ่น ฉุดธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมเซ็นทรัลพลาซาเร่งหารายได้เพิ่ม เน้นขยายธุรกิจบริหารโรงแรมและเพิ่มแบรนด์อาหารใหม่ๆ ด้านดิเอราวัณ กรุ๊ปรับรายได้ปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน 9% หวังสถานการณ์ท่องเที่ยวฟื้นดันรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 30-40% สำหรับผลประกอบการกลุ่มธุรกิจโรงแรมไตรมาส 2 ปีนี้ ส่วนมากปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) กำไรสุทธิไตรมาส 2 ลดลงมากที่สุดถึง 111.37% โดยมีผลขาดทุน 83.11 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 731 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) แม้ยังโชว์กำไรสุทธิ 41.66 ล้านบาท แต่ลดลง 77.91% เทียบกับงวดเดียวกันปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 188.63 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา แจ้งว่า สาเหตุที่ผลประกอบการของบริษัทลดลง เป็นเพราะไม่มีบันทึกกำไรพิเศษจากเงินประกันน้ำท่วม และจากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลกระทบโดยรวมต่อธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรม กลุ่มบริษัทได้พยายามหามาตรการต่างๆ เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย เช่น การเจรจากับผู้ขาย การใช้สาธารณูปโภคอย่างประหยัด การบริหารและควบคุมค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทมีแผนในการหารายได้เพิ่ม โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจบริหารโรงแรมให้มากขึ้น ในส่วนของธุรกิจอาหาร ก็ยังคงเน้นกลยุทธ์ในการขยายสาขา เพิ่มแบรนด์ธุรกิจใหม่ๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์ และทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ด้านนางกันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการ สายบริหารเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้ จะลดลงราว 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากเดิมที่คาดจะเติบโต 2-4% หลังจากครึ่งปีแรกรายได้ลดลงไปมากถึง 20% เพราะรับผลกระทบสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อจากปลายปี 2556 และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง แม้สถานการณ์โดยรวมจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในช่วงปลายเดือน มี.ค. แต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก็ปรับตัวลงอีกครั้งในเดือน พ.ค.ต่อเนื่องเดือน มิ.ย.ภายหลังการรัฐประหาร เนื่องจากหลายประเทศได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมา และบางประเทศห้ามการเดินทางเข้ามายังไทย เธอกล่าวว่า ส่วนในช่วงครึ่งหลังปี 2557 บริษัทเชื่อว่าผลประกอบการจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเห็นแนวโน้มที่เริ่มดีขึ้นมาตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา คาดอัตราการเข้าพักในไตรมาส 3 ปีนี้ จะอยู่ที่ราว 62% และจะมีการปรับราคาห้องพักขึ้นราว 3% ส่วนไตรมาส 4 ปีนี้ เชื่อว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทยังเชื่อมั่นว่าปี 2558 รายได้จะกลับมาเติบโตไม่ต่ำกว่า 30-40% เมื่อเทียบกับปีนี้ เนื่องจากบริษัทมีการเปิดโรงแรมแห่งใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีโรงแรมใหม่ในพัทยา 2 แห่ง คือ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ เอ็กเซ็กคูทีฟ พัทยา เดือนส.ค.นี้ และโรงแรมเมอร์เคียวพัทยา จะเปิดในไตรมาส 4 ปีนี้ รวมถึงโรงแรมไอบีส กระบี่ จะเปิดในไตรมาส 4 ปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดให้บริการโรงแรมในกลุ่มบัดเจ็ทภายใต้แบรนด์ "ฮ็อป อินน์" ที่เปิดให้บริการไปแล้วในไตรมาส 2 ปีนี้ที่ผ่านมาจำนวน 4 แห่ง และจะเปิดอีก 6 แห่งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งบริษัทยังมีแผนจะขยายโรงแรม "ฮ็อป อินน์"อีก 15 แห่งในปี 2558 เพื่อสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุม ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2557 บริษัทจะมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 28 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอยู่ 16 แห่ง "รายได้ของเราในปี 58 คงจะกลับมาเติบโตได้อย่างชัดเจนมากขึ้น จากการที่เราได้มีการขยายโรงแรมต่อเนื่อง และขยายโรงแรมเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า ECONOMY ที่มีความแข็งแกร่งในด้านของความต้องการ" นางกันยะรัตน์ กล่าวอีกว่า ในปี 2558 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 1.8 พันล้านบาท เพื่อขยายและปรับปรุงโรงแรม โรงแรมแบรนด์ ฮ็อป อินน์ 15 แห่ง และขยายกิจการในต่างประเทศ โดยมองความเป็นไปได้ในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก่อน เบื้องต้นมองไว้ 5 แห่งจะเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศที่ 20% ในปี 2563 นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมจะจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในปี 2558 ขนาดกองทุนไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท Tags : การเมือง • กำไร • ผลประกอบการ • โรงแรม