'บ้านปู'ประเมินราคาถ่านหินดีดตัว

"บ้านปู" ระบุยอดขายรวมครึ่งปีแรก 1.5 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% คาดทั้งปีรายได้รวม 3 พันล้านดอลลาร์

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 1,549 ล้านดอลลาร์หรือ 50,447 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 แบ่งออกเป็นรายได้จากการขายถ่านหิน 1,442 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 93% ของรายได้รวม ซึ่งแบ่งเป็นถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย 981 ล้านดอลลาร์ และแหล่งผลิตในออสเตรเลีย 461 ล้านดอลลาร์ สำหรับรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ เป็น 92 ล้านดอลลาร์ หรือ 6% ของรายได้รวม

ช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรขั้นต้น 513 ล้านดอลลาร์ หรือ 16,706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 ที่ 500 ล้านดอลลาร์ หรือ 14,920 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 76 ล้านดอลลาร์ หรือ 2,483 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีมูลค่า 1,170 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่สม่ำเสมอของธุรกิจไฟฟ้า มาตรการลดต้นทุนการผลิต ผนวกกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และการซื้อขายถ่านหินในตลาดล่วงหน้า

ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรก โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากปริมาณการขายถ่านหินรวมที่ดีของ 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน 22.8 ล้านตัน โดยปริมาณการขายถ่านหินหลักมาจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย 13.8 ล้านตัน และแหล่งผลิตในออสเตรเลีย 7.1 ล้านตัน รวมกับการขยายตัวของรายได้จากธุรกิจไฟฟ้า ได้ส่งผลต่อผลประกอบการเป็นไปตามเป้า ซึ่งปีนี้วางเป้ายอดขายถ่านหินรวมจาก 3 ประเทศไว้ 48 ล้านตัน

ด้านปริมาณการผลิตและขายจากแหล่งผลิตในออสเตรเลียครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานตามแผน เพราะเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ รวมถึงการเปิดเหมืองแอรี่ที่หยุดการผลิตชั่วคราวให้กลับมาผลิตถ่านหินอีกครั้งในปีนี้ รวมทั้งมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้ธุรกิจถ่านหินในออสเตรเลียดีขึ้น

"ครึ่งปีหลังคาดว่า ผลประกอบการจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกเล็กน้อย โดยราคาถ่านหิน ขณะนี้น่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และช่วงปลายปีจะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีความผันผวน ซึ่งจะส่งผลให้ยอดรายได้รวมทั้งปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา มียอดขายรวม 3 พันล้านดอลลาร์"นายชนินท์ กล่าว

การลงทุนปีหน้าจะใช้งบลงทุน 779 ล้านดอลลาร์ โดยจะเน้นในการลงทุนต่อเนื่องในการสร้างโรงไฟฟ้าหงสา 1,878 เมกะวัตต์ รองลงมาเป็นการเป็นการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเกาเหอในจีน 1.2 พันเมกะวัตต์ ขณะนี้กำลังศึกษาจะได้ความชัดเจนในต้นปีหน้า และการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น คาดจะได้ความชัดเจนต้นปีหน้าเช่นกัน

บ้านปูยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการผลิตน้ำมันจากถ่านหินที่เหมืองถ่านหินในมองโกเลีย โดยช่วงสิ้นปีนี้ จะได้ผลการศึกษาเบื้องต้น และในปี 2558-2559 จะศึกษาความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ ถ้าคุ้มค่าต่อการลงทุน คาดใช้เวลาก่อสร้างโรงงาน 3 ปี และจะผลิตได้ในปี 2561-2562 ซึ่งเบื้องต้นเหมืองถ่านหินในมองโกเลียมีศักยภาพในการผลิตน้ำมันได้จำนวนมาก

ส่วนในภาพรวมราคาขายถ่านหินเฉลี่ยในครึ่งปีแรกลดลง 9% อยู่ที่ 68.1 ดอลลาร์ต่อตัน จาก 75.1 ดอลลาร์ต่อตันในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของเหมืองในอินโดนีเซีย 69.6 ดอลลาร์ต่อตัน และในออสเตรเลีย 71.58 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อตัน

บริษัทยังได้ดำเนินมาตรการลดต้นทุนการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพ การดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากราคาขายถ่านหินที่ลดลงได้เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน เหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียลดต้นทุนการผลิตได้ 14.6% และเหมืองถ่านหินในออสเตรเลียลดต้นทุนการผลิตลงได้ 3.4% ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ารายงานผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีในไทย รับรู้ส่วนแบ่งรายได้ 50.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าหงสา ใน สปป.ลาว มีความคืบหน้าไปแล้ว 90% คาดเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในกลางปี 2558

สำหรับผลกระทบจากการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใหม่ ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจบ้านปู เพราะนโยบายการขึ้นค่าภาคหลวงเหมืองถ่านหิน ใช้เฉพาะเหมืองถ่านหินขนาดเล็ก ซึ่งที่ผ่านมาเสียค่าภาคหลวง 6-7% ให้ขึ้นมาเท่าเหมืองขนาดใหญ่ที่ 13.5% โดยเหมืองของบ้านปูเสียค่าภาคหลวงในอัตราดังกล่าวอยู่แล้ว และในอนาคตยังมีแนวโน้มที่จะมีการลดภาษี และเน้นนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพราะต้องการเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาสร้างเสถียรภาพและช่วยพัฒนาประเทศ จึงคาดว่าจะมีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น และหลังเปิดเออีซี จะทำให้มีการร่วมมือด้านการลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียนมากขึ้น และทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน และบุคลากรได้ง่ายขึ้น

Tags : ชนินท์ ว่องกุศลกิจ • บ้านปู • รายได้