ตลาดหุ้นไทยฟื้น หนุนนักลงทุนหน้าใหม่เข้าลงทุน เผยครึ่งปีแรกมีเข้ามาแล้วกว่า 4 หมื่นราย จากการรวบรวมข้อมูลการเปิดบัญชีของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ พบว่ามียอดการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนมิ.ย.เพียงเดือนเดียวมียอดการเปิดบัญชีใหม่กว่า 2.1 หมื่นบัญชี เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยมีบัญชีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาก่อน เป็นผลจากภาวะตลาดโดยรวมที่ปรับตัวขึ้น หลังปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศคลี่คลาย จากข้อมูลพบว่า มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะซบเซา จากผลกระทบปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว โดยในช่วงเดือน เม.ย.มีจำนวนบัญชีการซื้อขายแบบไม่นับซ้ำทั้งหมด 9.51 แสนบัญชี เพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นบัญชีจากเดือนก่อนหน้า และในเดือนพ.ค.อยู่ที่ 9.64 แสนบัญชี เพิ่มขึ้น 1.3 หมื่นบัญชีจากเดือนก่อนหน้า และล่าสุดในเดือนมิ.ย. มีจำนวนบัญชีอยู่ที่ 9.86 แสนบัญชี เพิ่มขึ้นกว่า 2.1 หมื่นบัญชี นางสาวนพเก้า สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานบริการลูกค้าและช่องทาง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กว่า 4 หมื่นบัญชี ถือว่ามีจำนวนไม่น้อยเมื่อเทียบกับภาวะตลาดช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ที่ไม่ค่อยดี ทำให้ความสนใจลงทุนอาจมีไม่มาก คาดทั้งปีการสร้างนักลงทุนหน้าใหม่จะเป็นไปตามเป้าที่ตลาดหลักทรัพย์ตั้งไว้ 8 หมื่นราย “เป้าที่ตลาดหลักทรัพย์ตั้งไว้ 8 หมื่นรายจะนับจากเลขบัตรประชาชนเป็นหลัก ไม่นับจำนวนบัญชีที่เปิดซ้ำ แนวโน้มจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ หลังจากปัญหาการเมืองคลี่คลาย เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว ช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้น ซึ่งจำนวนบัญชีนักลงทุนทั้งหมดแบบไม่ซ้ำรายล่าสุดอยู่ที่ 9.8 แสนบัญชีแล้ว ปีนี้ก็จะแตะระดับ 1 ล้านบัญชี หรือมีนักลงทุนในตลาดหุ้นกว่า 1 ล้านคน” สำหรับแผนการให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะปรับตามสถานการณ์ แต่โดยรวมตลาดหลักทรัพย์จะร่วมมือกับทางธนาคารพาณิชย์ต่างๆ มากขึ้น เพื่อความคล่องตัวในการเข้าถึงการลงทุน ทั้งสามารถเปิดบัญชีที่สาขาของธนาคารพาณิชย์ได้ การร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ยังสามารถเข้าถึงผู้ลงทุนได้ในวงกว้างมากกว่า เพราะธนาคารมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว สามารถเข้าถึงเวลธ์ (Wealth) ของลูกค้าได้ สามารถสร้างผู้ลงทุนที่มีคุณภาพได้ ส่วนนักลงทุนสถาบัน จะเป็นเรื่องการให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ซึ่งขณะนี้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เริ่มปรับลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำลงมา เหลือในระดับ 1,000 ล้าน เพื่อให้นักลงทุนเข้าลงทุนได้ง่ายขึ้น เพราะชนชั้นกลางมีรายได้ไม่สูง ค่าใช้จ่ายเยอะ หากตั้งวงเงินลงทุนขั้นต่ำไว้สูง กลุ่มนี้อาจจะไม่สนใจลงทุน Tags : ตลาดหุ้นไทย