เทศกาลวันหยุดต่อเนื่องยาวหลายวันอย่างนี้ สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์คงจะเพิ่มมากขึ้นกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะคงมีผู้คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางออกไปต่างจังหวัดกันมาก ทั้งไปพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดทำงาน และกลับไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องตามภูมิลำเนาเดิมของตน สาเหตุของการเกิดอุบัติทางถนนจากการใช้รถยนต์สมัยนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากคนขับรถด้วยกันเองมากกว่าสาเหตุอื่น สาเหตุหลักอย่างแรกคือผู้ขับรถขาดความชำนาญในการขับรถร่วมกับผู้อื่นบนทางหลวงระหว่างจังหวัด ซึ่งรถส่วนใหญ่ใช้ความเร็วสูงกว่าการขับรถในเมือง และมักจะคิดว่าถ้าตนเองขับช้าก็จะปลอดภัย ทั้งที่ในความเป็นจริงหากรถคันอื่นขับด้วยความเร็วสูงในระดับที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ ถ้าเราไปขับช้ากว่ารถคันอื่นมากก็มีโอกาสที่จะถูกรถอื่นชนท้าย หรือก่อให้เกิดการจราจรติดขัดจนโดนรถอื่นปาดหน้าเอาได้ การขับรถในสถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องขับรถด้วยความเร็วที่สอดคล้องกันกับรถอื่นที่ร่วมถนน แม้แต่ในช่วงที่การจราจรไม่ติดขัดหากเราขับรถด้วยความเร็วต่ำมาก ก็ต้องให้สัญญาณเตือนรถที่วิ่งตามหลังมาตลอดเวลาให้เขารู้ว่ารถเราวิ่งช้า สาเหตุถัดมาคือผู้ขับรถ “ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา” กล่าวคือยังคงคิดว่ารถที่ตนเองขับและรถอื่นที่วิ่งร่วมอยู่บนท้องถนนเป็นรถยนต์เหมือนกัน จึงไม่กลัวที่จะต้องขับไปบนเส้นทางที่เห็นว่ามีรถอื่นขับผ่านไปได้ หรือไม่กลัวที่จะขับด้วยระดับความเร็วที่เท่าเทียมกันกับรถคันอื่นที่แซงผ่านขึ้นหน้าไป หรือขับขึ้นเขาลงเขาด้วยความเร็วเท่ากันกับรถที่อยู่ร่วมเส้นทาง ทั้งที่รถอื่นที่ว่ามาทั้งหมดนั้นเป็นรถยนต์คนละประเภท, มีระบบขับเคลื่อนที่ต่างไปจากรถของเรา, มีสมรรถนะและพละกำลังของรถยนต์ที่เหนือกว่ารถที่เราขับ หรือแม้แต่ผู้ที่ขับรถคันอื่นที่เห็นวิ่งผ่านไปมาด้วยความเร็ว มีประสบการณ์และความชำนาญในเส้นทางมากกว่าเราเป็นต้น เมื่อเห็นเขาขับผ่านไปด้วยความเร็วสูง ก็พยายามขับไปด้วยความเร็วระดับเดียวกันกับเขา จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ ซุนหวู่ กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามนานนับพันปีแล้วว่า การที่จะทำการรบให้ได้ชัยชนะแม่ทัพที่ดีต้อง “รู้เขารู้เรา รบชนะจะได้ชัยชนะทั้งร้อยครั้ง” ซึ่งคำสอนดังกล่าวสามารถนำมาใช้กับการขับรถเพื่อลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลที่มีรถบนท้องถนนจำนวนมากอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะหากเราขับรถออกไปบนท้องถนนโดยคิดถึงแต่ตัวเราและรถของเราเอง โดยไม่คำนึงถึงรถคันอื่นและคนที่ขับรถคันอื่นอยู่ด้วย โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุย่อมมีอยู่สูงมาก รู้เราประการแรกคือต้องรู้ว่ารถยนต์ที่เราขับมีประสิทธิภาพและสมรรถนะเพียงใด ทั้งในแง่พละกำลังของเครื่องยนต์และสมรรถนะการยึดเกาะถนน รวมทั้งประสิทธิภาพของระบบเบรกด้วย และต้องไม่ลืมว่าต้องประเมินแบบยอมรับความจริงว่า เรามีความชำนาญในการขับรถตามสภาพนั้นๆมากหรือน้อยเพียงใด โดยการประเมินเพื่อก่อให้เกิดการรู้จักตัวเราและรถของเรานั้น ต้องทำการประเมินอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง หรือต้องประเมินแบบมองตัวเองและรถของตัวเอง ให้มีผลเป็นลบมากกว่าความเป็นจริงเอาไว้ ตัวอย่างเช่นหากเราเป็นคนที่แม้จะขับรถยนต์มานานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ขับรถอยู่แต่ในเมืองกรุงที่มีการจราจรติดขัด ไม่เคยขับบนทางหลวงระหว่างจังหวัดมาก่อน อีกทั้งการขับบนเส้นทางภูเขาที่มีโค้งคดเคี้ยวมาก เป็นทางขึ้นและลงลาดชันมากก็ไม่เคยขับมาก่อน รวมไปถึงรถยนต์ที่ขับมาครั้งนี้ก็เป็นรถเก๋งขนาดเล็กแบบอีโคคาร์ที่เพิ่งซื้อมาใช้งานได้ไม่กี่เดือน ต่างจากรถคันที่เคยขับมาหลายปีซึ่งเป็นรถยนต์ปิกอัพที่มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงกว่า กรณีตัวอย่างเช่นนี้หากผู้ขับรถยังคงขับภายใต้ความคิดว่า ตนเองเก่งเพราะขับรถมานานหลายปีและขับในแบบเดียวกับที่เคยขับรถปิกอัพมาก่อน โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวลาดชันก็จะมีสูงมาก เช่นเดียวกันกับการที่ต้อง “รู้เขา” ผู้ที่ขับรถต้องรู้ว่ารถที่ตนเองกำลังจะแซงผ่านไป หรือกำลังจะเร่งแซงผ่านขึ้นหน้าเราไปนั้นเป็นรถประเภทใดและมีประสิทธิภาพขนาดไหนเพียงใด เรื่องนี้อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์มากนัก แต่อย่างน้อยก็ควรจะประเมินจากลักษณะการขับขี่ หรือความเร็วและทีท่าของรถคันนั้นๆเอาไว้บ้าง ตัวอย่างง่ายๆ เช่นหากเห็นว่ารถที่เรากำลังขับตามหลังอยู่นั้น มีทีท่าอาการวิ่งส่ายไปมาคล้ายกับคนขับอยู่ในอาการมึนเมาหรือง่วงนอนหรือขาดความชำนาญ เพียงแค่นี้ก็สมควรตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเร่งแซงผ่านขึ้นหน้าแล้วหนีไปให้ไกล หรือยอมชะลอความเร็วรถของเราลงเพื่อให้รถคันดังกล่าวไปอยู่ไกลจากรถของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มิฉะนั้นก็อาจจะเกิดการเกี่ยวหรือเฉี่ยวชนกันขึ้นมาได้ การขับรถบนท้องถนนในประเทศไทยเป็นเรื่องยาก เพราะนอกจากเราจะต้องขับรถของเราให้ถูกกฎจราจรแล้ว ยังต้องระวังไม่ให้รถคันอื่นมาเกี่ยวข้องกับเราในเชิงอุบัติเหตุด้วย เพราะใบขับขี่รถยนต์ในบ้านเราไม่ได้แบ่งประเภท, ชนิด, และประสบการณ์ของคนขับรถเอาไว้หลากหลายเหมือนในบางประเทศ ของเรานั้นคนที่เพิ่งหัดขับรถและได้ใบขับขี่มาเพียงวันเดียวก็สามารถขับรถได้เช่นเดียวกันกับคนที่ขับรถมานานนับสิบปีแล้ว ดังนั้นผู้ขับรถทุกคนจึงต้องรู้จักหาทางช่วยตนเองเอาไว้บ้าง จึงจะเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุได้ครับ Tags : พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ • ออโต้คลินิค • รถยนต์ • อุบัติเหตุ • ทางหลวง