โบรกเกอร์ เผยครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยวอลุ่มหดกว่า60% ฉุดกำไรลดตาม บล.ไทยพาณิชย์ ชี้ครึ่งปีแรกกำไรลดเหลือ248 ][. ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 248 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผลจากภาวะตลาดโดยรวมที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง และการลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ(คิวอี) ของสหรัฐ ทำให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (วอลุ่ม) ปรับลดลง 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น หรือค่าคอมมิชชั่นยังปรับลดลง จากการแข่งขัน ที่เพิ่มขึ้นหลังมีโบรกรายใหม่เข้ามา โดยค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 0.13% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่อยู่ระดับ 0.14% อย่างไรก็ตามค่าคอมมิชชั่นของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 0.15% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม จากการสร้างคุณภาพการบริการ และให้บริการที่หลากหลาย ทั้งนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบัน "แม้ผลการดำเนินงานจะลดลงจากปีก่อน แต่ก็ออกมาสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่นเดียวกับส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 3.94% จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 3.6% ติดท็อป 10 ของตลาด ผลจากการเพิ่มการบริการ และบทวิจัยต่างๆ ให้กับลูกค้า แม้ค่าคอมมิชชั่นจะลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด" สำหรับเป้าหมายปี 2557 คาดว่าทั้งปีจะมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 4% มีกำไรสุทธิประมาณ 589 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 16% แม้ว่าภาวะตลาดโดยรวมในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น ทำให้วอลุ่มการซื้อขายฟื้นตัว แต่ก็ยังต่ำกว่าปีก่อน โดยประเมินว่าวอลุ่มทั้งปีอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากปีก่อนวอลุ่มเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ส่วนดัชนีสิ้นปีมองว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด “แนวโน้มตลาดครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีเงิน เม็ดเงินลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทย จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น หลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย ทำให้ทั้งปีเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย” เขากล่าวต่อว่า สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทยังคงผนึกกำลังกับธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะการเสนอบริการด้านการลงทุนเพื่อขยายลูกค้ากลุ่มเวลธ์ (Wealth) และบริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้จะขยายธุรกิจที่ไม่ใช่นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้า ทั้งหุ้นกู้อนุพันธ์ระยะสั้น ประเภทคุ้มครองเงินต้น รวมถึงการส่งเสริม และสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการระดมเงินจากตลาดทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 24% ในปลายปีนี้ นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ผลดำเนินงานบริษัทในครึ่งปีแรกของปี 2557 มีกำไรสุทธิ 350.46 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 638.66 ล้านบาท หรือลดลง 45 % โดยเป็นผลมาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์กำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ลดลง โดยใน 6 เดือนแรกนั้นบริษัทมีรายได้รวม 1,189.77 ล้านบาท ลดลง 33 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 47 % และกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ลดลง 32 % สอดคล้องกับภาวะตลาด ส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 750.15 ล้านบาท ลดลง 22 % จากการลดลงของค่าธรรมเนียมและบริการและค่าใช้จ่ายด้านเจ้าหน้าที่การตลาด ส่วนผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 2 บริษัทมีกำไร 254.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4 % ผลจากรายได้ค่าธรรมเนียมและการบริการเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 109.46 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปัจจุบันถือว่ามีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าที่เหมาะสมแล้ว และแม้ดัชนีจะมีโอกาสปรับฐานในระยะสั้นแต่เชื่อว่าดัชนียังสูงกว่ามูลค่าที่เหมาะสมอยู่ "หากเราพิจารณากำไรบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบันเราจะพบว่าดัชนีที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1,400-1,450 จุด ระดับดัชนีปัจจุบันถือว่าเกินมูลค่าเหมาะสมในปีนี้ไปแล้ว และหากมีการปรับฐานเรามองว่าจะปรับตัวลง 3 % ที่ 1,500 จุด หรือ 5 % ที่ 1,480 จุด โอกาสที่จะปรับตัวลดลงมาสู่มูลค่าที่เหมาะสมเป็นไปได้ยาก เพราะนักลงทุนยังมีความคาดหวังการเติบโตเศรษฐกิจปี 2558 อยู่มาก" Tags : ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ • บริษัทหลักทรัพย์ • ไทยพาณิชย์ • ลดมาตรการคิวอี • ค่าธรรมเนียมการซื้อหุ้น • ก้องเกียรติ โอภาสวงการ • สุกิจ อุดมศิริกุล