"ไพบูลย์" ปธ.สภาตลาดทุน เผย คสช.สั่งกระทรวงการคลังศึกษาตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานลดภาระหนี้รัฐ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับข้อเสนอการยืดอายุแอลทีเอฟและข้อเสนอการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานไปศึกษาในขณะที่เศรษฐกิจไทยและโลกปีหน้าดีขึ้นมีผลต่อการส่งออก จึงมั่นใจภาวะตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้น พร้อมเตือนผู้ประกอบการรับมือดอกเบี้ยขาขึ้นและบาทอ่อน นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) วานนี้ (15 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ได้รับข้อเสนอให้กระทรวงการคลังไปศึกษารายละเอียดของการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับการลงทุนด้านคมนาคม ไฟฟ้า ประปา ที่จะมีเม็ดเงินกว่า 2.4 ล้านล้านบาทในอนาคต เพราะหากจะเป็นการลงทุนโดยใช้เงินกู้ของรัฐบาลทั้งหมดจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของประเทศ การตั้งกองทุนฯ จะเป็นการลดภาระของรัฐ และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุนได้ด้วย นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ทางสภาธุรกิจตลาดทุนฯ ยังเสนอต่อ คสช.ให้ต่ออายุกองทุนแอลทีเอฟ จากที่ก่อนหน้านี้กรมสรรพากรกำหนดให้หมดอายุส่งเสริมด้วยการหักลดหย่อนภาษีปี 2559 ซึ่งทางสภาฯ มองเห็นว่าการจัดตั้งกองทุนแอลทีเอฟ มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง แต่ปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่ามีผู้ลงทุนผ่านแอลทีเอฟเพียง 700,000 ราย จากประชากรวัยทำงาน 40 ล้านคนเท่านั้น ดังนั้น จึงควรสนับสนุนต่อ โดยปรับรูปแบบใหม่ให้เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการออม เช่น จากเดิมสามารถขายกองทุนใน 5 ปีบัญชีก็เพิ่มเป็น 8 ปี และอาจกำหนดว่าหากมีผู้ลงทุนผ่านแอลทีเอฟมีปริมาณเหมาะสมเกิน 5 ล้านรายก็อาจยกเลิกแอลทีเอฟไปก็ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ทาง คสช.อาจจะส่งให้ทางรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นอีก 1 เดือนข้างหน้าเป็นผู้พิจารณา นายไพบูลย์ ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือปีนี้คงจะไม่ปรับขึ้นมากนักและมีโอกาสเทขายทำกำไร แม้จะมีการคาดการณ์เศรษฐกิจครึ่งหลังจะดีขึ้น ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไทยปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 1.5 จากครึ่งแรกของปีเศรษฐกิจติดลบก็ตาม เพราะนักลงทุนจะมองภาวะเศรษฐกิจสะท้อนล่วงหน้า 6 เดือนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นปีหน้าจะสดใสมากกว่าปีนี้ เพราะคาดเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวดีขึ้นจะทำให้ส่งออกไทยดีขึ้น ประกอบกับความเชื่อมั่นการลงทุนการบริโภคในประเทศดีขึ้นทำให้จีดีพีไทยปี 2558 จะขยายตัวร้อยละ 4.5 อย่างไรก็ตาม จากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศไม่ต่ออายุคิวอี ที่จะหมดอายุเดือนตุลาคมนี้และ 6 เดือนจากนั้นจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากอัตราปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 0 ขณะที่ประเทศอื่น ๆ เตรียมขยับดอกเบี้ยเช่นกัน ดังนั้น ปี 2558 ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือเงินดอลลาร์แข็งค่า จะทำให้เงินบาทไทยอ่อนค่าอย่างน้อยเฉลี่ย 34 บาทต่อดอลลาร์ ขณะเดียวดอกเบี้ยของไทยก็จะปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับเพิ่มจากร้อยละ 2.0 เป็น 2.5 ในปีหน้า ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดจะปรับจากร้อยละ 2.5 เป็น 2.7 ในปีหน้า Tags : ไพบูลย์ นลินทรางกูร • สภาตลาดทุน • คสช. • คลัง • หนี้รัฐ