หุ้นรัฐวิสาหกิจ "เอโอที-กรุงไทย-ทหารไทย" วอลุ่มทะลัก-ราคาพุ่งแรง การเคลื่อนไหวราคาหุ้น เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2557 ในกลุ่มรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกอบด้วย หุ้นบริษัทท่าอากาศยานไทย (AOT) พบว่าราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ราคา 209 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดปิดตลาดที่ 208 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท คิดเป็น 3.48% มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 1682 ล้านบาท ราคาหุ้นธนาคารกรุงไทย (KTB) ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดปิดตลาดที่ราคา 22.90 บาท ส่วนราคาหุ้นธนาคารทหารไทย (TMB) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดวัน และมาปิดตลาดที่ราคา 2.70 บาท นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่าการที่ราคาหุ้นรัฐวิสาหกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักหลายบริษัท เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไรผลประกอบการที่กำลังจะทยอยประกาศออกมา โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหลังจากที่แบงก์ทหารไทยประกาศกำไรเติบโตดี ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาส่งผลให้ราคาและวอลุ่มการซื้อขายมีจำนวนมากและติดอันดับ 1 ใน 10 หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของวัน อย่างไรก็ตาม แต่ละบริษัทที่มีแรงเก็งกำไรเข้ามาถือว่าเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้ว ส่วนนักลงทุนที่คิดจะเข้ามาลงทุนควรศึกษาข้อมูลปัจจัยพื้นฐานก่อนตัดสินใจเข้ามาลงทุน นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง กล่าวว่าฝ่ายวิจัยประเมิน บริษัทท่าอากาศยานจะเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มขนส่งทางอากาศที่จะรายงานกำไรงวดไตรมาส 3 ปี 2556/2557 (เม.ย.-มิ.ย.) ยังขยายตัวได้จากปีก่อน ซึ่งแม้อุตสาหกรรมฯ จะได้รับผลกระทบจากการเมืองตลอดไตรมาส แต่ท่าอากาศยานไทย ยังคงได้ประโยชน์ทางอ้อมจากจำนวนผู้โดยสาร และเที่ยวบิน ของกลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำ (LCC) ที่ขยายตัวสูง ขณะที่ภายในนั้น ต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย อัตราภาษี ยังคงต่ำกว่าปีก่อน ขณะที่การทยอยออกมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ เชื่อจะเป็นสิ่งที่ดีต่อราคาหุ้นระยะสั้นนี้ได้อีกด้วย "ฝ่ายวิจัยคาดยังเห็นกำไรปกติขยายตัว 6% จากงวดปีก่อนอยู่ที่ 2.86 พันล้านบาท หดตัว 21% จากงวดไตรมาส 2 ปีนี้ ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเมืองในประเทศโดยตรง ซึ่งกดดันให้จำนวนผู้โดยสารเส้นทางระหว่างประเทศ คาดจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 15%จากงวดไตรมาส 2 ปีนี้ และ 21%จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่วนเส้นทางในประเทศคาดจะลดลง 11% จากไตรมาส 2 ปีนี้ ทำให้จำนวนผู้โดยสารรวมคาดจะหดตัวลง 13% จากงวดเดียวกันปีก่อน" ผลกำไรปกติของท่าอากาศยานไทยยังคงดี เพราะรอบปีบัญชี 2556/57 บริษัทจะได้ประโยชน์จากการเริ่มใช้อัตราภาษีใหม่ 20% ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง 19% จากงวดเดียวกันปีก่อน หลังทยอยชำระเงินกู้ต่อเนื่อง รวมถึงได้ประโยชน์จากส่วนลดค่าธรรมเนียมลงจอด (LPC) ที่สนามบินดอนเมืองทยอยลดลงตามกำหนดการณ์ การประเมินมูลค่า หากประมาณการถูกต้อง กำไรปกติงวด 9 เดือนปี 2556/57 จะคิดเป็น 75% ของประมาณการที่ทำไว้ ทั้งนี้ เป้าหมายพีอีเรโชของหุ้นท่าอากาศยานไทย ปัจจุบันอยู่ที่ 20.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยสนามบินทั่วโลก 12% ซึ่งมองว่าเหมาะสม เพราะระยะยาวท่าอากาศยานไทย ยังคงมีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารที่สูงกว่าได้แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการบินในอาเซียน และยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่จะรองรับการเติบโตระยะยาว พร้อมทั้งโอกาสในการพัฒนารายได้ที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการบิน รวมถึงการปรับตัวขึ้น จากการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม PSC ในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ มองว่าท่าอากาศยานไทย จะเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการที่ คสช. กำลังจะออกมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวในและต่างประเทศเร็วๆ นี้ ขณะที่ปัจจัยความเสี่ยงจากผลการดำเนินงานมีน้อยมาก ด้วยการไม่มีคู่แข่ง การมีฐานผู้โดยสาร LCC ที่ขยายตัวสูงระดับ 26%จากงวดเดียวกันปีก่อน จนมีสัดส่วนเพิ่มจาก 30% เป็น 36% แล้วปีนี้ ส่วนความเสี่ยงคือ ความล่าช้าในการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จะกระทบต่ออัตราการเติบโตในระยะยาว และต้นทุนพัฒนาที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าแผนเดิม Tags : หุ้นรัฐวิสาหกิจ • ทอท. • กรุงไทย