เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2557 เวลา 20.30 น. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ออกประกาศ 3ฉบับ คือฉบับที่ 8782557,882557 และ89/2557 สรุปสาระสำคัญของประกาศแต่ละฉบับ โดยฉบับที่ 87/2557 ได้มอบหมายให้นายกรัฐมนตรี ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจในการควบคุมดูแลพ.ร.บ. 3 ฉบับ ประกอบด้วย พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง /พ.ร.บ.จราจร และพ.ร.บ.อาวุธปืน จากเดิมที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ควบคุมดูแลเพียงคนเดียว ขณะที่สาระสำคัญของประกาศฉบับที่88/2557ซึ่งถือเป็นไฮไลท์เป็นการแก้ไขระเบียบการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยตามกฎหมายเดิมนั้น กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอชื่อต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช. แต่ตามคำสั่งคสช.ฉบับที่ 88/2557 นี้ เป็นการแก้ไขให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันเป็นผู้เสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ก็เสมือนเท่ากับทำให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น ส่วนคุณสมบัติผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามกฎหมายเดิมนั้นเขียนกว้างๆ ว่ามาจากข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอกเท่านั้น แต่คำสั่งคสช.ฉบับนี้แก้ไขใหม่ให้แคบลง เหลือแค่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันมี 6 คน และจเรตำรวจแห่งชาติ อีก 1 คน หรือเฉพาะตำแหน่งส่วนบริหารเท่านั้น โดยส่วนที่ถูกตัดออกไป ประกอบด้วย ตำแหน่งที่ปรึกษาสัญญาบัตร10 จำนวน 5 คน และตำแหน่งหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ นอกจากนี้ตามประกาศฉบับที่ 88/2557 ยังมีการแก้ไขโครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช. โดยเพิ่มรองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน และเพิ่มปลัดกลาโหมเข้าไปเป็นกรรมการ ขณะที่ในส่วนของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ให้ยกเลิกกรรมการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด และตั้งกรรมการ 2 คน ซึ่งเลือกโดยวุฒิสภา ส่วนผู้ที่จะเป็นกรรมการตำรวจที่เหลือนั้นให้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เสนอชื่อรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือจเรตำรวจแห่งชาติ เข้าให้ ก.ต.ช.พิจารณา ขณะที่ประธานก.ตร. ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนประกาศคสช ฉบับที่ 89/2557 นั้นเป็นกาประกาศหลักเกณฑ์การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจว่าด้วยการจัดลำดับอาวุโส เพื่อประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยกำหนดให้ผู้ที่มียศสูงกว่าเป็นผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า ถ้ายศเท่ากัน ให้ดูอายุงานในตำแหน่งนั้นๆว่าใครสูงกว่า คนนั้นก็จะถือว่ามีอาวุโสสูงกว่า / แต่ถ้าอายุงานในตำแหน่งนั้นยังเท่ากันอีก ก็ให้ดูอายุงานในตำแหน่งที่รองลงไปจากนั้นตามลำดับจนถึงตำแหน่งระดับรองสารวัตร แต่ถ้าเกิดยังเท่ากันอีก ก็ให้ดูว่าใครดำรงตำแหน่งชั้นสัญญาบัตร(ตั้งแต่ร้อยตำรวจตรี)นานกว่ากัน สุดท้ายถ้ายังเท่ากันอีก ก็ให้ดูตามอาวุโสหรืออายุ ทั้งนี้ จากเดิมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยึดหลักเกณฑ์นับอาวุโสด้วยการพิจารณาว่า ข้าราชการตำรวจคนใดขึ้นดำรงตำแหน่งในระดับนั้นก่อนก็จะถือว่ามีอาวุโสสูงกว่า ซึ่งทำให้เกิดการวิ่งเต้นกับฝ่ายการเมืองให้มีการแต่งตั้งนอกฤดู หรือแต่งตั้งเป็นกรณีพิเศษ เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการนับอาวุโส