เงินทุนไหลเข้าบาทแข็งรอบ 4 เดือนขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 11 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 เดือน ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวานนี้ (14 ก.ค.) เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตลาดที่ระดับ 32.14-32.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะมาปิดตลาดที่ระดับ 32.11-32.13 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าที่สุดรอบ 4 เดือน หลังจากที่เงินทุนไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่ ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีภาพที่ดีขึ้นและจะมีการลงทุนเกิดขึ้นได้ทำให้เงินลงทุนไหลเข้ามาทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรและมีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าหลุดระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้หากหลุดแนวรับสำคัญที่ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ ในสัปดาห์นี้คาดว่าแนวโน้มค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.05-32.25 บาทต่อดอลลาร์ นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในขณะนี้อยู่ในภาวะ Risk on ที่นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจยังมีการขยายตัวได้ ขณะที่เงินเฟ้อไม่สูงมากนัก ทำให้มีเงินไหลเข้าในตลาดภูมิภาค โดยเงินบาทมีโอกาสที่จะหลุดระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่เชื่อว่าเงินบาทไม่น่าจะแข็งค่าไปมากนัก ทั้งนี้ต้องรอติดตามว่าจะมีประเด็นใหม่ที่มีผลต่อค่าเงินบาทในอนาคตหรือไม่ สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14 ก.ค.) ดัชนีปรับขึ้นแรงจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ และการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีนี้ ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุดที่ระดับ 1,531.63 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 1,523.05 จุด ปิดตลาดที่ระดับ 1,529.23 จุด ปรับขึ้น 11.22 จุด หรือ 0.74% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 เดือน มูลค่าซื้อขาย 4.1 หมื่นล้านบาท น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียผลจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนเพื่อเก็งกำไรผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 และเงินปันผลระหว่างกาลของปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ธนาคารกลางยุโรป ออกมาตรการ (อีซีบี) ประกาศโครงการ TLTRT หรือโปรแกรมการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมากแก่ธนาคารพาณิชย์ เปิดโอกาสให้เกิดการกู้ยืมเงินดอกเบี้ยต่ำเพื่อลงทุน หรือ แครี่เทรด (Carry Trade) หนุนเงินไหลออกมาลงทุนในเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน คือ ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย ที่มีอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) อยู่ที่ระดับ 20 เท่า และ 16 เท่า ตามลำดับ ถือว่าตลาดหุ้นไทยที่พีอีอยู่ที่ระดับ 15 เท่าถูกกว่า ทำให้เงินทุนต่างชาติปรับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแทน เห็นได้จากค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่าขึ้น “เม็ดเงินเริ่มไหลเข้าไทยตั้งแต่ช่วงต้นเดือน โดยเริ่มเข้าที่ตลาดพันธบัตรก่อน และเข้ามาที่ตลาดหุ้น ซึ่งแม้จะคาดการณ์ได้ยากในรอบนี้เงินต่างชาติจะไหลเข้ามานานแค่ไหน แต่ก็เห็นแนวโน้มที่เป็นบวก และคาดว่าภาพจะไม่ต่างไปจากในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ต่างชาติเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรงบไตรมาสแรก ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท” ทั้งนี้ดัชนีปรับขึ้นยืนเหนือระดับ 1,520 จุดซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญได้ จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นแตะระดับเป้าหมายของปีนี้ คือ 1,550 จุดได้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปแตะระดับ 1,600 จุดได้ หากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวแรง อย่างไรก็ตามนะนำนักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ และราคาหุ้นหลักของกลุ่มอุตสาหกรรมหลักในตลาดหุ้นไทย เพื่อประเมินกระแสเงินทุนต่างชาติ ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งกลุ่มธนาคาร กลุ่มที่อยู่อาศัย กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มไอซีที และกลุ่มบริษัทปตท. บล.เอเซียพลัส วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง 11 วันทำการ เพิ่มขึ้น 58 จุด หรือเกือบ 4% แรงหนุนมาจากการไหลเข้าของเงินกองทุนต่างประเทศ ทั้งในตราสารทุนและตราสารหนี้ เนื่องจากความชัดเจนทางการเมืองและกรอบระยะเวลาดำเนินงานของคสช. ประกอบกับการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่นับตั้งแต่เดือนมิ.ย.เป็นต้นมา ดัชนีของกลุ่มนี้ปรับขึ้นมากถึง 14% จึงทำให้มีความเสี่ยงที่ตลาดจะถูกขายตามข่าวได้ ประกอบค่าราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ของตลาดที่สูงถึง 16 เท่านักลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน วิเคราะห์ว่า ในสัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นไทย มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่อง จากอานิสงส์ทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติที่มีแนวโน้มไหลเข้าต่อเนื่องและแรงขึ้น ในรอบนี้ไหลเข้าตั้งแต่ช่วงวันที่ 27 มิ.ย.จนถึงปัจจุบัน พบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1.48 หมื่นล้านบาท และหากดูสถิติย้อนหลัง 20 ปีที่ผ่านมาพบว่าเฉลี่ยแล้วเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าอย่างน้อย 2.2 หมื่นล้านบาทต่อรอบ หนุนดัชนีในช่วงครึ่งปีหลังปรับขึ้นไปซื้อขายที่ระดับพีอี 15.25 เท่า หรือ 1,550 จุด นอกจากนี้ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีสถานะถือครองหุ้นไทยต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ระดับ 32.3% ช่วยจำกัดขาลงของดัชนีได้ Tags : ตลาดหุ้น • ค่าเงินบาท