"ซีพีเอฟ" เผยผลประกอบการปีนี้โตเกินเป้าที่ตั้งไว้ 10-15% จ่อขายกิจการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักในจีนเพิ่ม วานนี้ (10 ก.ค.) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ (CPF) อนุมัติให้บริษัทปรับโครงสร้างการทำธุรกิจในประเทศจีน ด้วยการให้บริษัท ซีพีพี (CPP) บริษัทลูกที่ทำธุรกิจอาหารสัตว์ในประเทศจีน ซื้อเงินลงทุนให้บริษัทไคฟง ( KAIFENG) ซึ่งทำธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ในมลฑลเหอหนาน มูลค่า 1.6 พันล้านบาท และอนุมัติการขายหุ้นบริษัท เรพิด ไทรฟ์ (Rapid Thrive) ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ในจีนมูลค่า1.67 พันล้านบาท เพราะไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า นโยบายการลงทุนของบริษัทจะเน้นลงทุนเฉพาะธุรกิจเกษตรและอาหารซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งหลังจากนี้ ซีพีพีในจีน จะมีการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักในประเทศจีนออกไปอีก ทั้งธุรกิจไบโอเคมิคอล และตัวแทนการขายอะไหล่ออกไปอีก แต่จะดำเนินการได้ในช่วงใดนั้นขึ้นอยู่กับการเจรจาหาผู้ซื้อและราคาที่ขาย ขณะเดียวกันบริษัทก็มองหาโอกาสที่จะลงทุนเพิ่มในธุรกิจหลัก โดยการซื้อเงินลงทุนในบริษัทไคฟง จะทำให้บริษัทซีพีพี มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ในจีนเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งรวมเป็น 66 โรงงาน ช่วยเพิ่มผลผลิต ยอดขายในจีนและทำให้ซีพีมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นด้วย เขากล่าวต่อว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ จะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 10-15% ผลจากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลง ปริมาณการผลิตเนื้อสัตว์เข้าสู่ตลาดทั่วโลกลดลง ส่งผลให้ราคาเนื้อสัตว์ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนปัญหาโรคระบาดในกุ้งก็ดีขึ้น "โดยปกติบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจปีละ 10-15% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ปีนี้นอกจากบริษัทจะมั่นใจว่าผลการดำเนินงานปีนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ประมาณ 4 แสนล้านบาท ยังมีแนวโน้มโตเกินเป้าที่วางไว้ด้วย และจะมีการเติบโตอย่างมั่นคง" สำหรับผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าของต่างประเทศ ทั้งสหรัฐ และยุโรปนั้น ส่งผลกระทบต่อบริษัทค่อนข้างน้อย แม้ว่าจะมีลูกค้าบางส่วนหยุดการสั่งซื้อสินค้า แต่เป็นส่วนน้อย เป็นลูกค้าในยุโรป 100 บ้านบาท และลูกค้าในสหรัฐ 600 ล้านบาท ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับยอดการส่งออกของบริษัททั้งปีที่อยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากยอดขายทั้งปี 4 แสนล้านบาท "ยอดขายของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ การส่งออกคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7% ของยอดขายรวมเท่านั้น อย่างไรก็ตามบริษัทก็พยายามชี้แจง ทำความเข้าใจกับลูกค้าว่า ซีดีเอฟยึดมั่นการทำสิ่งที่ถูกต้อง และไม่เห็นด้วยกับการใช้แรงงานที่ผิดกฎหมาย และมีการพาลูกค้ามาดูกระบวนการผลิตในประเทศด้วย" เขากล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ มีสัญญาณดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้ทั้งปีมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ในระดับ 2-3% ส่วนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ดีขึ้น หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการเร่งขับเคลื่อนการลงทุนของภาครัฐ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อ สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นซีพีเอฟ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2557 ปิดตลาดที่ราคา 27.50 บาท ลดลง 0.25 บาท คิดเป็น 0.90% Tags : ซีพีเอฟ • อดิเรก ศรีประทักษ์