ช่วงหลัง วงการกล้องวงจรปิด IP Camera เริ่มขยับตัวขึ้นสู่คลาวด์ จากเดิมกล้องภายในบ้านต้องต่อกับฮาร์ดดิสก์เพื่อบันทึกวิดีโอ แล้วหาวิธีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อให้ดูภาพจากกล้องได้จากระยะไกลอีกที ยุ่งยากทั้งการติดตั้งและดูแล กล้องวงจรปิดยุคใหม่แก้ปัญหานี้โดยการส่งภาพผ่าน Wi-Fi ขึ้นไปเก็บบนคลาวด์มันซะเลย จะดูภาพจากแอพหรือเว็บก็ไม่ยาก เพราะเป็นการดูจากคลาวด์อีกต่อหนึ่ง กล้องรายแรกๆ ที่ลงมาเล่นตลาดนี้คือ Dropcam (ปัจจุบันโดน Nest ซื้อไปแล้ว และกลายร่างเป็น Nest Cam แทน) แต่ภายหลังก็มีแบรนด์อื่นๆ บุกสู่ตลาดนี้กันมากมาย ข้อจำกัดสำคัญของกล้องแบบเชื่อมต่อคลาวด์คือ มันคิดเงินค่าคลาวด์นั่นเองครับ (ถือเป็นโมเดลธุรกิจ ขายกล้องราคาไม่แพง แล้วขายบริการ subscription เป็นรายเดือนหรือรายปี) แต่ในที่สุดก็มีกล้องที่ออกมาทำลายข้อจำกัดนี้ นั่นคือ Netgear Arlo Q ที่มาพร้อมกับ "คลาวด์ฟรี 7 วัน" รู้จักกล้องวงจรปิดแบรนด์ Arlo แบรนด์ Arlo เป็นแบรนด์ลูกของบริษัท Netgear สำหรับเจาะตลาดกล้องวงจรปิดโดยเฉพาะ สินค้าตัวแรกของบริษัทชื่อว่า Arlo Wire-Free เป็นชุดกล้องวงจรปิดไร้สาย เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ตัวกล้องกันน้ำ เหมาะสำหรับการใช้งานนอกบ้าน (outdoor) ส่วนกล้อง Arlo Q ที่นำมารีวิวครั้งนี้ เป็นกล้องแบบมีสายไฟ เชื่อมต่อเน็ตผ่าน Wi-Fi เหมาะสำหรับการใช้งานภายในอาคารเป็นหลัก ถ่ายภาพความละเอียด 1080p (สเปกละเอียด) นอกจากนี้ Netgear ยังมีกล้องรุ่นที่สามกำลังจะวางขายในเร็วๆ นี้คือ Arlo Q Plus ที่เป็น Arlo Q เพิ่มฟีเจอร์มาอีก 2 อย่างคือ Power over Ethernet ใช้ไฟจากสายแลนได้โดยไม่ต้องเสียบสายไฟแยก และมีช่องเสียบ SD Card ในตัว สามารถบันทึกภาพไว้ในกล้องได้ด้วย (Arlo Q รุ่นมาตรฐาน ต้องส่งภาพขึ้นคลาวด์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีสตอเรจในตัว) กล้องทุกตัวมาพร้อมกับบริการคลาวด์เก็บวิดีโอได้นาน 7 วัน แต่ต้องชี้แจงให้ชัดว่า ไม่ได้เป็นการบันทึกวิดีโอต่อเนื่องตลอดเวลา แต่เป็นการอัดวิดีโอต่อเมื่อตรวจจับความเคลื่อนไหวเท่านั้น (พื้นที่ฟรีจะใช้งานได้ 1GB) ถ้าอยากอัดวิดีโอต่อเนื่อง (continuous video recording) ก็สามารถซื้อบริการแบบพรีเมียมเพิ่มได้ แกะกล่อง Arlo Q กล้องตระกูล Arlo ออกแบบมาให้ขนาดเล็กกะทัดรัด ดีไซน์ดูน่ารัก และใช้งานง่าย กรณีของ Arlo Wire-Free ต้องมีกล่องควบคุมกลางใช้ร่วมกับกล้องด้วย แต่ Arlo Q เป็นกล้องที่ทำงานแบบสแตนด์อโลน เสียบปลั๊กแล้วต่อ Wi-Fi ทำงานได้ทันที ไม่ต้องต่อเชื่อมกับใคร ตัวกล้องมีลำโพงและไมโครโฟนให้ในตัว สามารถตรวจจับเสียงดังได้ และสามารถพูดผ่านแอพให้ออกไมโครโฟนของกล้องได้ด้วย (ใช้เป็น baby monitor หรือกล้องสำหรับคุยกับแขกที่มากดออดหน้าประตูได้) อุปกรณ์ที่แถมมาให้ นอกจากตัวกล้องแล้วก็มีสายไฟยาว 3 เมตร (หัวต่อกับตัวกล้องเป็น Micro USB แปลว่าเราสามารถเอาสายชาร์จมือถือมาเสียบได้) และตัวเมาท์ติดกำแพง กับสกรูเจาะผนังอีก 4 ตัว ตัวฐานของกล้อง Arlo Q เป็นแม่เหล็กอยู่แล้ว ถ้าวางไว้บนวัตถุที่เป็นโลหะ (เช่น หลังตู้เก็บเอกสารที่เป็นโลหะ) ก็ถือว่ามีความมั่นคงแข็งแรงในระดับนึง อาจไม่จำเป็นต้องใช้เมาท์หรือติดเทปยึดเลยด้วยซ้ำ การติดตั้ง กล้องสมัยนี้ใช้การติดตั้งผ่านแอพทั้งหมดแล้ว วิธีการติดตั้งถือว่าง่ายมากๆ เพียงแค่เสียบสายไฟเข้ากับกล้อง รอกล้องบูตสักระยะหนึ่ง แล้วดาวน์โหลดแอพชื่อ Arlo บนมือถือมาใช้งาน (มีทั้งบน iOS/Android แอพตัวนี้ใช้ได้กับกล้องแบรนด์ Arlo ทุกตัว) แอพจะให้เรากรอกข้อมูล Wi-Fi ที่ใช้งานว่าชื่ออะไร รหัสผ่านอะไร จากนั้นบนจอมือถือจะแสดง QR Code ขึ้นมา ให้เรากดที่ปุ่ม Sync ด้านข้างกล้อง แล้วเอากล้องไปจ่อที่ QR Code จนได้ยินเสียง "ติ๊ด" กล้องก็จะต่อเชื่อมกับ Wi-Fi ให้อัตโนมัติ ในการใช้งานครั้งแรก แอพ Arlo จะให้เราสมัครสมาชิกบริการคลาวด์ด้วย ตัวแพ็กเกจปกติ สามารถเก็บคลิปวิดีโอได้นาน 7 วัน ต่อเชื่อมกล้องได้สูงสุด 5 ตัว (พื้นที่รวม 1GB ต่อบัญชี) ส่วนบริการแบบพรีเมียม จะเพิ่มเนื้อที่เป็น 10GB, กล้อง 10 ตัว, คลาวด์เก็บข้อมูลนาน 30 วัน ราคา 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (รายละเอียด) แต่เท่าที่ลองดู เหมือนว่าในไทยยังสมัครบริการแบบพรีเมียมไม่ได้นะครับ การใช้งาน ตัวกล้อง Arlo เมื่อเราติดตั้งเสร็จแล้วก็ลืมมันไปได้เลย เพราะการควบคุมจะใช้ผ่านแอพทั้งหมด ตัวแอพ Arlo มีด้วยกัน 3 แท็บ ได้แก่ Mode ปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของกล้องแต่ละตัว Cameras ดูภาพสดจากกล้องที่ผูกกับบัญชีของเรา Library คลังคลิปภาพที่กล้องบันทึกให้อัตโนมัติ เมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหว ส่วนของการดูภาพสด คงไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก กล้องจะแสดงภาพเมื่อเรากดปุ่ม Play เท่านั้น โดยเราสามารถส่งเสียงพูดคุยกับอีกฝั่งของกล้องได้ สามารถบันทึกภาพนิ่งและวิดีโอในขณะนั้นได้ ส่วนของ Library เป็นคลังเก็บคลิปที่กล้องบันทึกไว้ตามโหมดการใช้งาน คลิปสามารถบันทึกได้นานสุดครั้งละ 120 วินาที (ค่าดีฟอลต์คือ 15 วินาที) ทุกครั้งที่กล้องตรวจจับความเคลื่อนไหวได้ มันจะเตือนเราผ่าน notification ของแอพ และส่งอีเมลมาเตือนด้วยอีกทางหนึ่ง ถ้าใช้พีซีอยู่ก็สามารถคลิกลิงก์ในอีเมล เพื่อกดเข้าไปดูคลิปบนเว็บของ Arlo ได้ โหมดการทำงานของกล้อง มีค่าดีฟอลต์มาให้ 3 โหมดคือ Armed ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเสียงดัง Disarmed ไม่ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเสียงดัง (เอาไว้ดูสดได้อย่างเดียว) Schedule ตั้งเวลาการทำงานระหว่างแต่ละโหมด หน้าตาของโหมด Scheduled เราสามารถกำหนดช่วงเวลาได้ละเอียดเป็นหลักนาที โดยตั้งตารางการทำงานได้ตลอด 1 สัปดาห์ ว่าจะให้ทำงานช่วงไหนบ้าง เช่น ตอนเย็นวันทำงาน และวันเสาร์อาทิตย์ทั้งวัน เป็นต้น ปัญหาของกล้องที่มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว คือต้องหาจุดสมดุลระหว่างการเตือนภัยจริงๆ กับการเตือนภัยที่อาจเข้าใจผิด (false positive) เพราะถ้าแจ้งเตือนมันทุกอย่าง คนดูแลกล้องก็คงรำคาญและพลอยเลิกดูการแจ้งเตือนไปเลย Arlo แก้ปัญหานี้โดยมีฟีเจอร์ Activity Zones หรือกำหนดพื้นที่ว่าต้องการตรวจจับความเคลื่อนไหวเฉพาะตรงไหนในภาพที่กล้องมองเห็น เช่น เราอาจไม่สนใจพื้นที่นอกประตูรั้วบ้าน และให้ตรวจจับเฉพาะบริเวณประตูบ้านเท่านั้น นอกจากนี้ กล้องยังเปิดโอกาสให้เราสร้างโหมดการทำงานเองได้ละเอียด ทั้งการกำหนดระดับ sensitivity ของความเคลื่อนไหว (ผมพบว่าค่าดีฟอลต์ไม่ตรวจจับคนที่เดินอยู่ไกลๆ แต่ถ้าเป็นรถวิ่งจะมองเห็น ซึ่งตรงนี้ปรับได้), กำหนดวิธีการแจ้งเตือน, กำหนดว่าจะให้บันทึกเฉพาะวิดีโอ หรือบันทึกเฉพาะภาพนิ่ง เป็นต้น จากการลองใช้งานมาเกือบสัปดาห์ ผมพบว่า Arlo Q เป็นกล้องวงจรปิดที่น่าประทับใจมาก ติดตั้งง่าย ไม่ต้องดูแลอะไรเลย แอพใช้ง่ายไม่ซับซ้อน ภาพที่ได้ค่อนข้างโอเค คมชัดและสว่าง มีความสามารถสูงในระดับหนึ่ง (กล้องบางยี่ห้อมีระบบ face detection ด้วย แต่ Arlo ยังไม่มี) แถมมีฟีเจอร์เด็ดอย่างบริการคลาวด์ฟรี 7 วัน ซึ่งพอใช้งานเหลือเฟือสำหรับผู้ใช้ตามบ้านทั่วๆ ไป (ต่อให้ไปต่างประเทศนานๆ ก็คงใช้เกินนี้ไม่มาก บวกกับน่าจะหาอินเทอร์เน็ตมาเปิดดูได้ระหว่างทริปอยู่แล้ว) ปัญหาที่พบของ Arlo Q คือเฟิร์มแวร์ของกล้องที่ขายในไทย กลับไม่มีเขตเวลา GMT+7 ของบ้านเรา มีแต่ GMT+8 ซึ่งก็พอใช้แทนได้ โดยปรับเวลาในโหมด Scheduled ให้ช้าลง 1 ชั่วโมง (ทางตัวแทนจำหน่าย Netgear บอกว่าแจ้งปัญหานี้ไปแล้ว และน่าจะแก้ไขในเฟิร์มแวร์รุ่นถัดไป) ส่วนการตรวจจับความเคลื่อนไหว อาจต้องใช้เวลาทดสอบจริงสัก 2-3 วันว่าเราอยากได้ sensitivity มากน้อยแค่ไหนถึงจะพอดี นอกจากนี้ ข้อพึงระวังของ Arlo Q คือมันเป็นกล้องที่ไม่มีสตอเรจในตัว ใช้วิธีส่งข้อมูลไปเก็บบนคลาวด์แทน ซึ่งถ้าเน็ตมีปัญหาระหว่างไม่อยู่บ้าน ก็อาจเป็นจุดตายได้เช่นกัน (ทางแก้ก็อาจอัพเกรดไปใช้ Arlo Q Plus ที่มี SD ในตัวแทน) ใครที่ต้องการเก็บข้อมูลย้อนหลังตลอดเวลา ก็คงต้องพิจารณาทางเลือกอื่นๆ แต่ถ้าเป็นการใช้งานแบบโฮมยูสทั่วไป ผมคิดว่า Arlo Q น่าจะครอบคลุมการใช้งานเกือบทุกกรณี Topics: ReviewNETGEARCameraAccessories