"ไทยพาณิชย์" ระบุ ไม่ออกหุ้นกู้เสริมเงินกองทุน เผยเงินกองทุนสูงพอ แม้จะมีหุ้นกู้ทยอยครบกำหนดไถ่ถอนทุกปี นายหยกพร ตันติเศวตรัตน์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่มีความจำเป็นต้องออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ เพื่อนับเป็นเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง แม้จะเริ่มมีธนาคารพาณิชย์บางแห่งระดมทุนในรูปแบบดังกล่าวแล้ว เนื่องจากยังไม่เห็นความจำเป็นในขณะนี้ โดยธนาคารยังมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระดับสูง ล่าสุดอยู่ที่ 16.16% และเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (TIER1) สูงถึง 11.53% ซึ่งมาจากหุ้นสามัญและกำไรสะสมเป็นหลัก ถือว่ามีความเป็นเงินกองทุนที่มีคุณภาพสูงอยู่แล้ว ในส่วนของเงินกองทุนขั้นที่ 2 ในขณะนี้มีอยู่ 4.63% โดยในแต่ละปีมีหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนรวมถึงปีนี้ด้วย แต่ธนาคารก็ยังไม่จำเป็นเร่งรีบเช่นกันที่จะต้องออกชุดใหม่มาทดแทน แม้ว่าต้นทุนในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิตามเกณฑ์ของการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BASAL III) เพื่อเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 จะต่ำกว่าการออกเพื่อเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ก็ตาม เนื่องจากตามเกณฑ์บาเซิล3 จะให้น้ำหนักกับเงินกองทุนที่มาจากหุ้นสามัญและกำไรสะสมเป็นหลักและไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการดำรงเงินกองทุนขั้นที่ 2 นอกจากนี้การออกหุ้นกู้เพื่อเสริมเงินกองทุนในขณะนี้ถือว่ามีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากเงื่อนไขที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้การเพิ่มเงินกองทุนด้วยการออกตราสารเหล่านี้มีความน่าสนใจลดลง อย่างไรก็ตามหากจังหวะตลาดมีความเหมาะสมและเอื้อให้ต้นทุนต่ำก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารจะออกตราสารหนี้ดังกล่าวเพื่อมาล็อกต้นทุนที่อาจปรับสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยในอนาคตได้ นายหยกพร ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังบังคับใช้เกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามบาเซิล 3 เพียงบางส่วน แต่ธนาคารมีความพร้อมรองรับบาเซิล 3 อยู่แล้ว แม้ว่าในอนาคตธปท.จะบังคับใช้บาเซิล 3 อย่างเต็มรูปแบบ โดยเงินกองทุนขั้นสูงสุดที่ธนาคารจะต้องดำรงไว้ในกรณีบังคับใช้เต็มรูปแบบจะอยู่ที่ 11-13.5% ในปี 2562 แต่ในขณะนี้ธนาคารมีเงินกองทุนสูงถึง 16.16% แล้ว และในแต่ละปีธนาคารจะมีกำไรสะสมเข้ามาเสริมเงินกองทุนอย่างต่อเนื่อง สำหรับความเสี่ยงในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมายอมรับว่าปัญหาทางการเมืองทำให้เศรษฐกิจโดยรวมที่ได้รับผลกระทบทั้งที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงการฟื้นตัวดีขึ้นทั้งสหรัฐและยุโรป ทำให้ในปีนี้เศรษฐกิจไทยคงไม่สามารถโตได้ตามที่คาดหมาย และยังส่งผลให้ความเสี่ยงในการให้สินเชื่อปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หลังจากที่การบริโภคชะลอลงขณะที่หนี้ภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น ธนาคารจึงจำเป็นต้องปรับขยับมาตรฐานการให้สินเชื่อ หรือเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ เพราะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงโดยเฉพาะลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าเดิมจะเน้นการให้ความช่วยเหลือเป็นหลักทั้งเอสเอ็มอีและลูกค้ารายย่อย Tags : หยกพร ตันติเศวตรัตน์ • ไทยพาณิชย์ • หุ้นกู้