บลจ.บัวหลวงซื้อหุ้นลิสซิ่ง

กองทุนรวมบัวหลวงเดินหน้าเก็บหุ้นลิสซิ่ง สำรวจพบราคาหุ้นพุ่งกว่า 10% ในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

จากการสำรวจสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มสินเชื่อ ผู้ให้ประกอบการสินเชื่อ พบว่า กลุ่มนักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท เอเชียเสริมกิจลิสซิ่ง (ASK) มีกองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล เข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2.05% จากเดิม 1.59% บัวหลวงธนคม ถือหุ้นเพิ่มขึ้น เป็น 1.36% จากเดิม 0.91% และมีกองทุนที่เข้ามาซื้อหุ้น ได้แก่ กองทุนบัวหลวงสิริบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ เข้ามาถือหุ้น ถือหุ้น 1.57%

กองทุนบัวหลวง small - mid cap เพื่อการเลี้ยงชีพ ถือหุ้น 0.61% ส่วนบริษัท ฐิติกร (TK) มีกองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล เข้าถือหุ้นเพิ่มขึ้น จากเดิม 0.87% เป็น 0.91% และมีกองทุนเปิด บัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ เข้าถือหุ้น 0.91% กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม เข้าถือหุ้น 0.83%

การเคลื่อนไหวราคาหุ้น พบว่า หลังจากการเปลี่ยนแปลงแปลงทางการเมือง ราคาหุ้นเริ่มขยับตัวเพิ่มขึ้น ในวันที่ 22-26 พ.ค.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) มาปิดที่ 4.16 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.83% บริษัท ฐิติกร (TK) ปิดที่ 10.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 11.35% บริษัทกรุ๊ปลีส( GL) ปิดที่ 7 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 37.23% บริษัทเอเชียเสริมกิจลีสซิ่ง (ask) ราคาหุ้นปิดที่ 20.90 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 14.21%

นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มลิสซิ่งถูกกดดันจากการขยายตัวสินเชื่อลดลงและเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาหุ้นซื้อขายกันที่พี/อี 8-9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าปกติ แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และคสช.สามารถผลักดันให้คืนเงินประกันจำนำข้าวได้ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ราคาหุ้นก็เริ่มตอบรับข่าวดี ในแง่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่สะท้อนราคาหุ้นมากนัก ต้องรอดูงบไตรมาส 2 ปีนี้ ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของผลประกอบการ

บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ทิศทางผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ ของกลุ่มลิสซิ่ง มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวจากปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ผนวกกับเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจทำให้ความต้องการสินเชื่อชะลอตัวลง เชื่อว่าแนวโน้มผลประกอบการกลุ่มลิสซิ่งในครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวตามความต้องการสินเชื่อที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซัน และภาระการตั้งสำรองหนี้ที่ลดลง ผลจากแนวโน้มสินเชื่อมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวลดลดลง โดยมีค่าเฉลี่ย 3.12% ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อธุรกิจ

ขณะเดียวกัน ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเริ่มเห็นการฟื้นตัว หลังดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคพลิกกลับมาเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน โดยภายหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มประกาศโรดแมพ เศรษฐกิจ ทั้งมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น การจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าว เกือบ 1 แสนล้านบาท และมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน

ทั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จะมีการฟื้นตัวมากกว่าปกติ เพราะได้รับผลกระทบหนักในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังประเมินว่า ผลการดำเนินงานยังจะไม่กลับไปสู่ภาวะปกติ เพราะความต้องการสินเชื่อไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกว่า 2-3 ปีก่อน เนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรากหญ้า ทำให้มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ซึ่งมาตรการช่วยเหลือของคสช.อาจช่วยปลดภาระหนี้สินได้บางส่วน อาจมีแรงพอจะสร้างความเชื่อมั่นกับการจับจ่ายใช้สอยภาคครัวเรือนให้กระเตื้องขึ้นบ้าง โดยเฉพาะการซื้อรถจักรยานยนต์

Tags : บลจ.บัวหลวง • สินเชื่อ