ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 13.77% ช่วงครึ่งปีแรก หลังการเมืองชัด เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้น ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 13.77% ช่วงครึ่งปีแรก หลังการเมืองชัด เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้น แต่ต่างชาติยังขายสุทธิ 4.3 หมื่นล้าน สมาคมบล.ชี้ครึ่งปีหลังดีขึ้นอีก แต่เงินทุนยังไม่ไหลเข้า โอกาสหุ้นขึ้นแรงจึงมีน้อยลุ้นดัชนี 1500 จุด สัปดาห์นี้ แนะจับตาความรุนแรงในอิรัก น้ำมันพุ่ง กระทบเศรษฐกิจไทย ขณะที่เศรษฐกิจโลกไม่ดีอย่างที่คาด ฉุดตัวเลขส่งออก ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนีปรับขึ้นแรงจากปลายปีก่อนหน้า โดยดัชนีที่ปิดตลาดเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2557 ปิดตลาดที่ระดับ 1,483.24 จุด เพิ่มขึ้น 13.77% จากสิ้นปีก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ระดับ 13.33 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.83 ล้านล้านบาท หรือ 15.99 % จากสิ้นปีก่อนหน้า ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสะสมอยู่ที่ระดับ 4.3 หมื่นล้านบาท นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จะปรับตัวดีขึ้นจากในช่วงไตรมาสแรกที่ได้รับผลกระทบปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยปรับขึ้นจากสถานการณ์ในประเทศที่ชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยภายนอกไม่ดีเหมือนที่คาด โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้อาจไม่ได้ตามที่หวัง นอกจากนี้มีแนวโน้มว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะยังไม่ไหลกลับเอเชีย รวมทั้งไทยในระยะเวลาอันใกล้ และมีการไหลกลับไปที่สหรัฐอเมริกามากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยต้องพึ่งปัจจัยในประเทศในการขับเคลื่อนเป็นหลัก โอกาสที่จะเห็นดัชนีปรับขึ้นเร็วและแรงจึงมีน้อยตามไปด้วย จึงคงเป้าดัชนีปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,450 จุด “แม้โอกาสที่ดัชนีจะปรับแรงมีน้อยในปีนี้ แต่ก็ทำให้การเติบโตมีเสถียรภาพมากขึ้น จะไม่เห็นการเติบโตที่เป็นความเสี่ยง หรือไม่มีลูกโป่งเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็ต้องมีการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์เลือกหุ้นลงทุนที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยมองว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสในการเติบโตสูง คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และแนวโน้มดอกเบี้ยที่ทรงตัว” สำหรับความเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่ามาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศอิรัก ที่จะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้น และกระทบต่อประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมัน นอกจากนี้ภาพรวมเศรษฐกิจต่างประเทศไม่ฟื้นตัว กระทบต่อการส่งออกของไทย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (30 มิ.ย.-1 ก.ค.) ยังคงให้น้ำหนักกับเป้าหมายที่ระดับ 1,500 จุด ผลักดันโดยกลุ่มธนาคาร เพื่อเก็งกำไรต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2557 รวมถึงกลุ่มไอซีที ที่อยู่อาศัย ขณะที่ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ นอกเหนือจากความคืบหน้าด้านเศรษฐกิจภายในประเทศแล้ว ติดตามการประชุม ธนาคารกลางยุโรป ในวันที่ 3 ก.ค. อาจเห็นการส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม และตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ทั้งนี้เมื่อดัชนีตลาด เริ่มขยับเข้าใกล้เป้าหมายที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ 1,480-1,500 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุนจึงเริ่มเน้นการขายทำกำไรมากขึ้น เมื่อดัชนี ขยับขึ้นสู่ 1,480 จุดขึ้นไป และถือเงินสดมากขึ้น หากต้องการเก็งกำไร ควรจำกัดวงเงิน และเน้นหุ้นขนาดกลาง มากกว่าหุ้นหลักที่อาจเผชิญกับแรงขายจากกองทุนภายในประเทศ หลังสิ้นสุด Window Dressing บล.เคเคเทรด วิเคราะห์ว่า ในช่วงนี้เริ่มเข้าสู่การเริ่มทำประมาณการผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ปี 2557 ของกลุ่มธนาคาร ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผลประกอบการจะเพียงแค่ทรงตัวจากไตรมาสแรก เนื่องจากการเติบโตของสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำมาก แต่ราคาหุ้นที่อ่อนตัวกว่าการปรับขึ้นของตลาดรวม น่าจะสะท้อนปัจจัยกดดันดังกล่าวไปพอสมควรแล้วหากการดำเนินนโยบายของ คสช.เป็นไปได้ตามแผน คาดว่าจะช่วยหนุนการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ของกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีหลัง บล.เอเซียพลัส วิเคราะห์ว่า จากการสำรวจมุมมองนักวิเคราะห์เกี่ยวกับผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปีนี้ ภาพรวมถือว่าไม่โดดเด่น เริ่มจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะประกาศงบเร็วกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ คาดว่าจะเห็นการชะลอของกำไรสุทธิเล็กน้อย เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากการชะลอตัวของสินเชื่อ เห็นได้จากช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.96% จากสิ้นปี 2556 Tags : ตลาดหุ้น • การเมือง • เศรษฐกิจ