ส.นักวิเคราะห์-บล.หั่นกำไรบจ.

สมาคมนักวิเคราะห์คงเป้าดัชนี 1,473 จุด กำไรบจ.เหลือ 11% เหตุการเมืองกดดันตลาด แนะนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุน


สำหรับภาวะการลงทุนตลาดหุ้นวานนี้ (14 พ.ค.) ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง หลังจากที่หลายฝ่ายประเมินปัญหาการเมืองเข้าใกล้จุดสิ้นสุด ส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นยกแผง โดยเฉพาะหุ้นที่พึ่งเข้าทำการซื้อขายใหม่ โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 1,396.04 จุด ก่อนที่ดัชนีปิดที่ 1,396.03 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.89 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.52% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 49,965.33 ล้านบาท

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้จัดทำผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ 21 บริษัท ถึงแนวโน้มของตลาดหุ้นในปี 2557 นางภรณี ทองเย็น อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า ผลสำรวจพบนักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการดัชนีหุ้นในระดับใกล้เคียงระดับเดิม 1,473 จุด จาก 1,472 จุด โดยเป็นผลมาจากปัญหาการเมืองที่เข้ามากดดันดัชนีตลาดหุ้นมากขึ้น

"นักเคราะห์ให้น้ำหนักกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จากปัญหาการเมืองมากที่สุด จากเดิมให้น้ำหนักกับปัญหาการปรับลดมาตรการคิวอี และการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ที่อาจปรับตัวลดลง ส่วนปัจจัยบวกนักลงทุนให้น้ำหนักกับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวมากขึ้น"

นอกจากนี้ ยังพบว่า นักวิเคราะห์ให้กรอบดัชนีสูงสุดที่ 1,760 จุด และต่ำสุด 1,190 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 11% ปรับตัวลดลงจากครั้งก่อนที่ 12.1% เนื่องจากการเมืองยืดเยื้อกระทบการทำธุรกิจ โดยผู้ที่ให้กำไรบริษัทจดทะเบียนต่ำสุด 5% และสูงสุด 16% ขณะที่การเติบโตของจีดีพี นักวิเคราะห์มีความเห็นว่าปรับตัวลดลงเหลือ 2.4% จากครั้งก่อนที่คาดเติบโต 2.9% โดยกรอบการประมาณการจีดีพีสูงสุดที่ 3.1% และต่ำสุดที่ 1.1%

สำหรับการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย พบว่า นักเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในไตรมาส 3 ของปี 2558 ถึง 43% ส่วนการปรับลดมาตรการคิวอีของสหรัฐ จะมีการปรับลดสิ้นสุดในเดือนต.ค.ที่จะถึงนี้ สูงสุด 39%

ส่วนคำแนะนำในการกระจายความเสี่ยงของนักลงทุน พบว่า ให้ลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 87% จากครั้งก่อนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 86% และยังแนะนำให้ลงทุนหุ้นสามัญ หรือหุ้นในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 40% จาก จากครั้งก่อน 26% และลงทุนหุ้นในประเทศและต่างประเทศ 21% จากเดิมลงทุน 20% ลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 6% จากครั้งก่อน 5% และลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ลดลงเหลือ 20% จากครั้งก่อน 23%

ทั้งนี้ยังแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีเงินปันผลสม่ำเสมอ เน้นหุ้นที่ผลประกอบการยังโตได้ดีแม้มีปัญหาทางการเมือง ทนทานต่อภาวการณ์เศรษฐกิจในประเทศ หรืออิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยทยอยสะสมหุ้นในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลดลงจากผลกระทบของการเมือง รวมถึงกำหนดวัตถุประสงค์การลงทุนของตนเองให้ชัดเจน จัดสรรพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และมีการบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ยังแนะนำให้นักลงทุนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่มีความขัดแย้งในปัจจุบัน

สำหรับการสำรวจครั้งต่อไป มองว่าแนวโน้มการประมาณการอาจปรับลดลงบ้าง ตามภาวการณ์การเมือง และภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยหลังจากนี้มองว่า การสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์น่าจะมีการทำสำรวจบ่อยขึ้น และอาจต้องทำในทุกไตรมาส เนื่องจากภาวการณ์เมืองยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน ทำให้การประกาศกำไรบริษัทจดทะเบียนต้องปรับประมาณการใหม่

เธอกล่าวว่า ส่วนการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงนั้น น่าจะเกิดจากการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติหลังจากที่เข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มทิปต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยมีการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่ภาวการณ์เมืองยังกดดันให้เงินทุนต่างชาติเข้ามาไม่มากนัก

ด้านบล.เอเซียพลัสนั้น ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ 11% อาจมีการปรับลดลง 2% เหลือ 9% เป็นผลมาจากกำไรของกลุ่มปตท. ปรับตัวลดลงถึง 3% ซึ่งกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนเป็น 25% ของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด และยังจะมีการปรับลดประมาณการกลุ่มอาหารลงอีก 6%

ส่วนกรอบดัชนีหุ้น มองว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกเทขายจนหล่นไประดับ 1,200 จุดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองกดดัน ก่อนที่จะถูกไล่ซื้อหุ้นมาต่อเนื่อง ทำให้มองว่า การแม้จะเกิดความรุนแรงทางการเมือง ดัชนีตลาดหุ้นไม่น่าจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,300 จุด โดยคำแนะนำนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากเดิมถือหุ้น 30% เป็น 40% โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการปันผลที่ดี

Tags : ตลาดหุ้น • สมาคมนักวิเคราะห์