บล.ทิสโก้ เผยยอดเทรดต่างชาติลดลงเล็กน้อย สวนทางรายย่อยเพิ่มเป็น 50% หลังเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ เปิดเผยว่า หลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้น สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อขายผ่านบริษัทปรับตัวลดลงเหลือ 20 %จากปีก่อนที่มีสัดส่วนการซื้อขายที่ 30%ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด โดยเหตุผลที่การซื้อขายนักลงทุนต่างชาติชะลอลงเกิดจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ "สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติผ่านบล.ทิสโก้ปรับตัวลดลง กลับกลายเป็นกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 40 % ในปีก่อน เป็น 50 % ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศยังอยู่ในระดับปกติที่ 30 % ในส่วนนี้ยังมีการเติบโตได้ดี จากเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือแอลทีเอฟกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ที่ยังมีการซื้อเข้ามาต่อเนื่อง" ผลการดำเนินงานของบล.ทิสโก้นั้น เป็นไปตามมูลค่าการซื้อขายต่อวัน ที่ปรับตัวลดลงครึ่งปีแรกเหลือ 2.5-3 หมื่นล้านบาท และครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวได้ มากกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท สิ่งที่น่าพอใจคือ บล.ทิสโก้ สามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ที่ 3% ได้ แม้จะมีการแข่งขันเรื่องค่าให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น) ทั้งในลูกค้ารายบุคคล และลูกค้าสถาบันในประเทศ แต่ทั้งนี้นโยบายของบล.ทิสโก้ จะไม่ลงไปแข่งด้านราคา เพราะไม่สร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า ต่างจากการให้ข้อมูลและบทวิเคราะห์ที่แม่นยำ จะมีประโยชน์มากกว่า โดยปัจจุบันค่าธรรมเนียมเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 0.19% ของยอดการซื้อขายผ่านบริษัท ส่วนภาพตลาดหุ้นในระยะต่อไป เขามองว่าน่าจะอยู่ในช่วงพักตัว เป็นช่วงปกติหลังมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารประเทศ ช่วงแรกตลาดหุ้นจะตอบรับนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความคาดหวังของประชาชน เมื่อผ่านพ้น 1 เดือน จะเข้าสู่ช่วงการพิสูจน์ผลงานที่แท้จริง เป็นผลให้ดัชนีมีกรอบการปรับขึ้นที่จำกัด สำหรับภาพในระยะสั้น นายไพบูลย์เห็นว่าทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย อาจไม่น่าสนใจมากนัก สวนทางกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เริ่มโดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรป นำโดยธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เริ่มเก็บดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินที่ฝากเงินข้ามคืน เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์หันไปปล่อยกู้กระตุ้นเศรษฐกิจ และในอนาคตอาจมีการทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างการรับซื้อคืนพันธบัตร (คิวอี) เหมือนในสหรัฐ ทั้งนี้ตลาดหุ้นในยุโรปที่มีความน่าสนใจคือตลาดหุ้นเยอรมนี จุดเด่นคือเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไม่มีปัญหาการชะลอตัว ส่วนอีกกลุ่มประเทศที่น่าสนใจคือกลุ่มเอเชียเหนือ บล.ทิสโก้จึงใช้โอกาสดังกล่าวขยายการให้บริการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยบริษัทเปิดการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์และหน่วยลงทุนอีทีเอฟในตลาดต่างประเทศ ในตลาดหุ้นขนาดใหญ่ 7 แห่งทั่วโลก ทั้งในสหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ครอบคลุมหลักทรัพย์ 1.2 หมื่นตัว เน้นให้บริการในกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่มีขนาดพอร์ตลงทุนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท และคาดหวังจะให้ลูกค้าใช้บริการดังกล่าว เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านการลงทุน บริษัทจะเน้นสร้างความเข้าใจกับลูกค้าถึงการให้บริการเป็นหลัก ซึ่งคาดหวังจำนวนลูกค้า 500 ราย จากลูกค้าระดับบนทั้งหมดที่มีการซื้อขายหุ้นเป็นประจำ 1-2 พันราย โดยจะเริ่มจากการให้บริการผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) เป็นหลัก ลูกค้าสามารถส่งคำสั่งการซื้อขายในเวลาทำการ 9.00-16.00 น. ส่วนค่าธรรมเนียมการซื้อขายนั้นจะอยู่ที่ 0.50% ของมูลค่าการซื้อขาย ด้านนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ สายงานลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 1,530 จุด ผลจากการเข้ามาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและเข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้น และมองว่าตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้ 1,650 จุดในปีหน้า "เราประเมินว่าไตรมาส 3 ตลาดน่าจะเกิดแรงขายทำกำไร จากการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนี ตั้งแต่ก่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ภาพเศรษฐกิจค่อนข้างดี ทำให้ราคาหุ้นสูงกว่าการเติบโตของกำไร จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกขายออกมา ซึ่งหลังจากนี้เรามองว่านักลงทุนน่าจะให้ความสนใจกับกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2558 มากกว่า" เขาแนะนำว่าหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนควรสะสม คือหุ้นที่พึ่งพิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้าปลีก หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร ซึ่งแนะนำให้นักลงทุนรอซื้อในช่วงดัชนีปรับตัวลดลงแรง โดยปัจจัยนักลงทุนควรให้น้ำหนักคือการปรับเพิ่มดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่อาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า Tags : ไพบูลย์ นลินทรางกูร • ทิสโก้ • ตลาดหุ้น • นักลงทุน