"มาร์ค ฟาเบอร์" กูรูการลงทุนฉายาผู้หยั่งรู้หายนะภัย เตือนวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่กำลังเกิดช่วงครึ่งหลังปีนี้ นายมาร์ค ฟาเบอร์ กูรูลงทุนระดับโลก เจ้าของงานเขียนวารสาร "อึมครึม หายนะและเฟื่องฟู" ให้ความเห็นผ่านเว็บไซต์ซีเอ็นบีซี ยอมรับว่ารู้สึกกังวลและสังหรณ์ใจช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โลกจะเผชิญวิกฤตครั้งใหม่ที่ใหญ่กว่าปี 2551 โดยวิกฤตการเงินปี 2551 อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจโลกล้มครืนลงรุนแรงยิ่งขึ้น และเขาจับตาเกาะติดแนวโน้มนี้อย่างใกล้ชิด เขาย้ำความกังวลเป็นห่วงเป็นใยอีกครั้งหนึ่งผ่านรายการสคว๊อก บอกซ์ ของซีเอ็นบีซี ถึงความเป็นไปได้ ที่จะเกิดวิกฤตการเงินครั้งใหม่ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ นายฟาเบอร์ บอกว่า หากพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ของภาพรวมสินเชื่อในกลุ่มเศรษฐกิจเป็นตลาดพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อภาคเอกชน สินเชื่อผู้บริโภค หรือหนี้ภาคครัวเรือน และหนี้สาธารณะ ซึ่งหนี้โดยรวมเหลานี้ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ตอนนี้สูงกว่าเมื่อปี 2550 ถึง 30% "ไม่คิดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกำลังฟื้นตัว เราอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัว และภายใต้คาดการณ์ดังกล่าว คิดว่าราคาหุ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วขึ้นไปเต็มที่แล้ว ส่วนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีราคาแพงแล้ว ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเหล่านี้ต่ำ" เขากล่าวด้วยว่า สินทรัพย์มีมูลค่าลดลงมากที่สุดคือเงินสด นักลงทุนจะทำเงินไม่ได้ และจริงแล้วนักลงทุนเหล่านี้ขาดทุนในระยะยาวด้วย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นคนที่ชักนำทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ทั้งนี้นายฟาเบอร์ เชื่อว่า ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เงินสดอาจเป็นสินทรัพย์ดึงดูดใจมากที่สุด พร้อมวิจารณ์วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในยูเครนว่า เป็นปัญหาทางด้านภูมิศาสตร์การเมือง ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางลบต่อตลาดการเงินโลก ซึ่งก่อนหน้านี้นายฟาเบอร์ให้ข้อมูลกับซีเอ็นบีซี เป็นคาดการณ์ว่าการขายตลาดหุ้นสหรัฐจะมีการปรับตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก่อนหน้านี้ นายฟาเบอร์ กูรูลงทุนระดับโลก เคยให้ความเห็นด้วยการมองแนวโน้มตลาดโลกช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ว่า มูลค่าสินทรัพย์โป่งพองอย่างมาก โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก และเมื่อการทรุดตัวลงของสินทรัพย์ปรากฏให้เห็น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้ แต่เมื่อเทียบมูลค่าหุ้นไทยกับหุ้นสหรัฐต้นปีนี้ เขาคิดว่าหุ้นไทยราคาสมเหตุสมผล แม้จะยังไม่ถูกมากแต่ราคาไม่แพง เขาให้ความเห็นด้วยว่าตลาดหุ้นไทยแม้ปรับลดลงจากระดับสูงสุด 21พ.ค.ในปี2556 ที่ระดับ 1,649จุดมาอยู่ที่ 1,250จุด และอาจแกว่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1,300 จุด ทำให้มูลค่าหุ้นไทยตอนนี้ราคาสมเหตุสมผล และเขาอาจมองหาโอกาสซื้อหุ้นบางตัวมากกว่าจะขาย "คิดว่าหุ้นกลุ่มบริการการแพทย์ดึงดูดใจ และหุ้นอสังหาริมทรัพย์บางตัวน่าสนใจ หรือหุ้นบางตัวอย่างกลุ่มหุ้นโทรศัพท์ไร้สายลดลงมามากแล้ว การซื้อหุ้นมีขนาดใหญ่ก็น่าสน หุ้นเหล่านี้อาจลดลงอีกเล็กน้อย แต่ไม่ใช่การปรับลดลงมาก แต่คิดว่าตอนนี้มีหุ้นอยู่หลายตัวที่มูลค่าลดลงถึง50%แล้ว" ต่อข้อถามที่ว่าหากให้เลือกว่าจะซื้อหุ้นที่ไหนระหว่างไทยกับสหรัฐในช่วง10ปีข้างหน้า นายฟาเบอร์เชื่อมั่นว่าการซื้อหุ้นในไทยจะทำเงินได้มากกว่าการซื้อหุ้นสหรัฐในช่วง10ปีข้างหน้า เพราะไทยเป็นประเทศยอดเยี่ยมและเขาชื่นชอบประเทศไทยมาก ส่วนผลกระทบจากเงินทุนไหลออกเกิดกับไทย นายฟาเบอร์คิดว่าสถานะของไทยไม่ได้ดูเลวร้ายหรือแย่เหมือนตุรกี บราซิล อินเดียหรืออินโดนีเซีย ไทยอยู่ในสถานะดีกว่า แต่การลดใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินหรือคิวอี แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทั่วโลก การลดใช้คิวอีน่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐมากกว่าส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย โดยช่วงที่ผ่านมาต่างชาติพากันเทขายหุ้นไทยตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีก่อน "ตอนนี้วิกฤตการเมืองส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ ทำให้พวกเขาพากันขายหุ้นไทย จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลง ซึ่งไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสิ่งเกิดขึ้นในบราซิล ในตุรกีหรืออินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งภาพรวมทั่วไปหุ้นตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกปรับลดลง" ต่อข้อสงสัยที่ว่าการเมืองวุ่นวายจะทำให้บริษัทจัดอันดับอย่างมูดี้ส์หรือเอสแอนด์พีลดเรทติ้งประเทศไทยหรือไม่นั้น นายฟาเบอร์กล่าวว่าเขาไม่ได้สนใจบริษัทจัดเรทติ้งมากนัก แต่เห็นว่าสถานะของไทยยังคงแข็งแกร่ง แม้จะไม่แข็งแกร่งเทียบช่วง2-3ปีที่ผ่านมา แต่ถือว่าแข็งแกร่งเทียบประเทศอื่น อย่างภาคการเงินสหรัฐกับยุโรปไม่ได้ดีไปกว่า ถึงแม้ว่าจะเกิดปัญหามากมายในไทย แต่ถ้าเทียบไทยกับประเทศอื่นทั่วโลก ปัญหาของไทยไม่ได้ใหญ่โตอะไร Tags : มาร์ค ฟาเบอร์ • หนี้ • วิกฤต • โลก