เมื่อปลายปีที่แล้ว Fitbit ได้เปิดตัวอุปกรณ์ของตนเอง ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้จะดูธรรมดาๆเหมือนเช่นเคย ถ้า Fitbit ไม่ได้ใส่เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สามารถทำงานได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งบอกว่าแบตตอรี่สามารถอยู่ได้ 5 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และที่สำคัญคือ ยังคงขายราคาเท่าเดิมเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Fitbit Force ที่ซึ่งวางขายได้ไม่นานก็ต้องเรียกสินค้าคืนทั้งหมด เพราะผู้ใช้งานมีการแพ้เมื่อสวมใส่ คำเตือน : ระวังเปลือง 3G เพราะรูปเยอะมาก Fitbit Charge HR นั้นมีทั้งหมด 3 ขนาดคือ S (5.4" - 6.2"), L (6.2" - 7.6"), และ XL (7.6" - 8.7") ซึ่งวัสดุที่เป็นสายรัดนั้นทำมาจากยาง, ตัวล็อคสายทำมาจากสแตนเลส ซึ่ง Fitbit เคลมว่าวัสดุนั้นเกรดเดียวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสเปคต่างๆมีดังนี้ครับ หน้าจอ OLED แบตเตอรี่อยู่ได้ 5 วัน เซนเซอร์วัดอัตรการเต้นของหัวใจ, เซนเซอร์วัดความเร่ง 3 แกน, เซนเซอร์วัดความสูง เก็บข้อมูลได้ 7 วัน และเก็บข้อมูลสรุปย้อนหลังได้ 1 เดือน บลูทูธ 4.0 สามารถใช้ได้กับระบบปฏิบัตการ Android, iOS, และ Windows phone แกะกล่อง Fitbit Charge HR มาในกล่องพลาสติกใส ที่สามารถโชว์สัดส่วนของตัวมันเองได้โดยรอบ ในกล่องประกอบไปด้วย สายรัดข้อมือ สายชาร์จ ตัวซิงค์กับคอมพิวเตอร์ คู่มือ โดยตัวเรือนและสายนั้นไม่สามารถถอดแยกออกมาจากกันได้ อีกทั้งตัวล็อคนั้นเป็นเหมือนนาฬิกาทั่วไปตามท้องตลาด จึงหมดกังวัลได้เลยว่าจะไม่หลุดหายแบบไม่รู้ตัวแน่นอน ด้านหลังประกอบไปด้วย พอร์ตสำหรับชาร์จ และบริเวณที่มีไฟสีเขียว คือเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ปุ่มที่ใช้ควบคุมทุกอย่างอยู่ทางด้านซ้ายของอุปกรณ์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน Fitbit charge HR มีทั้งหมด 8 อย่างดังนี้ครับ นาฬิกา วัดจำนวนก้าว อัตราการเต้นหัวใจ ระยะทางที่เดินไป จำนวนแคลลอรี่ที่ใช้ไป จำนวนชั้นที่เดินขึ้น - เดินลงบันได นาฬิกาปลุก เข้าสู่โหมดออกกำลังกาย ซึ่งทำได้โดยกดปุ่มค้างไว้จนสายรัดสั่น ด้านหลังประกอบไปด้วย พอร์ตสำหรับชาร์จ และบริเวณที่มีไฟสีเขียว คือเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ปุ่มที่ใช้ควบคุมทุกอย่างอยู่ทางด้านซ้ายของอุปกรณ์ การสวมใส่ โดยปกติแล้วตัวผมเองใส่ไว้ที่ข้อมือซ้าย เวลาใส่นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกเกะกะแต่อย่างใด อีกทั้งตัวสายรัดข้อมือนั้นไม่ได้มีน้ำหนักมาก จนหลายๆครั้งลืมไปว่าใส่สายรัดข้อมือ(ลืมถอดตอนอาบน้ำ) แต่เวลาเอามาใส่ที่ข้อมือขวาจะรู้สึกประหลาดๆเวลาใช้งาน เพราะปุ่มที่ใช้กดนั้นอยู่ทางซ้ายของสายรัด (ใส่ข้อมือซ้ายใช้นิ้วโป้งมือขวากดปุ่ม, ใส่ข้อมือขวาใช้นิ้วชี้ซ้ายกดปุ่ม) แต่นี้อาจจะเรียกว่าเป็นข้อดี เพราะเข้าใจว่าออกแบบมาให้สามารถใส่ได้ทั้งข้อมือซ้ายหรือ ข้อมือขวา ก็ยังคงสามารถใช้งานต่อได้ ไม่เหมือนนาฬิกาทั่วไปที่ถ้าเอาไปใส่มือขวาเวลาจะหมุนเม็ดมะยมนี้ผิดท่าผิดทางชอบกล ข้อมือซ้าย ข้อมือขวา การใช้งานบน Smart phone ตอนนี้แอพของ Fitbit เองก็ได้รองรับระบบปฏิบัติการบนมือถือเจ้าใหญ่ๆหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Android, iOS, หรือแม้กระทั่ง Windows phone แต่ ณ ที่นี้ผมขอรีวิวบน iOS ครับ หน้าหลักของแอพ Fitbit ภายในหน้าแรกนี้สามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม อัตราการเต้นของหัวใจ, การนอนหลับ แคลลอรี่ที่ใช้ไป, จำนวนก้าวที่เดิน ระยะทางที่เดิน, และจำนวนชั้นที่เดินขี้น - เดินลงบันได การตั้งค่า Fitbit Charge HR ตั้งนาฬิากาปลุก, ตั้ง Caller ID จากโทรศัพท์(ไม่รองรับชื่อภาษาไทย) ตั้งการแสดงค่าบนสายรัดข้อมือ, เลือกรูปแบบนาฬิกา ตั้งค่าเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, ตั้งเป้าหมายหลัก ตั้งค่าว่าใส่สายรัดบนข้อมือข้างที่ถนัดหรือไม่, และตั้งค่าเมื่อแตะ 2 ครั้งให้แสดงผลอะไร ประการ์ณการใช้งาน ท้าวความก่อนว่าตอนแรกนั้นผมหา Smart watch, หรือ Activity traceker มาแทนนาฬิกาที่เพิ่งพังไป โดยโจทย์คือ 1. ใส่ได้ทุกวัน 2. ใช้แทนนาฬิากาได้ 3. แบตเตอรี่เกิน 3 วัน 4. ใส่ออกกำลังกายได้ 5. และไม่ดูล้ำเกินไป ซึ่งหลังจากหาอยู่ซักพักก็ได้ตัวเลือกต่างๆดังนี้ Apple watch, Mitfit shine, Fitbit Charge แต่ก็ได้ตัด Apple watch ออก ด้วยความที่ว่าแบตตอรี่ไม่อึด, ตัด Mitfit shine ออกเพราะมันเหมือนเหรียญลวงโลก ก็กลายเป็นว่าเหลือ Fitbit อยู่เจ้าเดียว (จริงๆอยากได้มาตั้งแต่ Fitbit force แล้วแต่เงินติดลบ) จากการใช้งานมาประมาณเกือบ 1 เดือน พบว่าแบตเตอรี่อยู่ได้จริงๆประมาณ 4 วัน ถ้า 5 วันตามแบบที่ Fitbit เคลมมานั้นคือแบตเตอรี่หมดแบบเปิดไม่ติดเลย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อีกทั้งตัวสายรัดเองก็ไม่ได้ดูล้ำโลกจนขนาดที่ต้องตกเป้าสายตาให้คนถามอยู่บ่อยๆ ตัวฟีเจอร์ที่มีในตัว Fitbit Charge HR นั้นเรียกได้ว่ามีพอๆกับ Activity tracker ตัวอื่นๆในตลาด แต่การที่มีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาให้นั้น ทำให้เรียกได้ว่าเป็น Activity tracker ที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะใส่แค่ชิ้นเดียวก็เดิน/ทำกิจกรรมได้เลย, คุมโซนอัตราการเต้นของหัวใจได้ง่ายขึ้น(เหมาะกับคนออกกำลังกาย) สรุป Fitbit Charge HR เหมาะกับใคร? - เหมาะกับคนที่กำลังมองหา Activity tracker ตัวเดียวที่สามารถใช้ได้ทุกงาน - เหมาะกับบางคนที่ไม่อยากใช้สายรัดหน้าอกกับ smart phone เครื่องย่อมๆติดกับต้นแขนเวลาออกกำลังกาย ข้อดี สายรัดข้อมือไม่ดูล้ำโลกเกินไป สามารถใช้ได้ทุกงาน แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ 4 - 5 วัน สายรัดข้อมือน้ำหนักไม่เยอะ ทำให้ไม่รู้สึกรำคาณเวลาใส่ตลอดวัน ข้อเสีย ราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบวัสดุ และราคาของคู่แข่งในท้องตลาด (ราคาครึ่งหมื่นนิดๆ) ใส่อาบน้ำไม่ได้ ไม่มีฟีเจอร์ Power nap, และ Smart alarm เหมือนคู่แข่ง (เสียดายมาก) ยางของสายรัดข้อมืออมฝุ่น หน้าจอที่เป็นพลาสติกเป็นรอยง่ายมาก Fitbit, Health, Review, Wearable Computing