เผยนักลงทุนต่างชาติ กลับซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยวันแรก 2.6 พันล้านบาท หลังเทขายต่อเนื่อง "ไพบูลย์" ชี้ผลจากนักลงทุนเชื่อมั่นในโรดแมพ คสช. ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวานนี้ (2 มิ.ย.) ดัชนีปรับขึ้นแรงต่อเนื่อง ระหว่างวันปรับขึ้นสูงสุดที่ระดับ 1,441.92 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1,423.57 จุด และมาปิดตลาดที่ระดับ 1,440.94 จุด ปรับขึ้น 25.21 จุด หรือ 1.78 % มูลค่าการซื้อขาย 5.55 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกที่ 2.69 พันล้านบาท หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 9 วันทำการ นับตั้งแต่วันที่ประกาศกฎอัยการศึก คิดเป็นมูลค่าการขายสุทธิกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ซื้อสุทธิกว่า 1 พันล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4.7 พันล้านบาท นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และประธานคณะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า การเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของคสช.ซึ่งออกมาเร็วกว่าที่คาด ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ต้องติดตาม คือมาตรการที่ประกาศออกมานั้นสามารถปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหน หากมาตรการต่างๆ สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ ก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้นเรื่อยๆ นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังจากคสช. มีการประกาศโรดแมพนโยบายทางด้านเศรษฐกิจออกมาชัดจน ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าแผนดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จริง และหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ หลังจากได้หยุดชะงักไปในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง “ ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นตามความหวังของนักลงทุน จึงเห็นได้ว่าแม้นักลงทุนต่างชาติจะยังคงขายสุทธิ แต่แรงซื้อของนักลงทุนในประเทศ ทั้งสถาบันและรายย่อยก็มีมากพอที่จะรองรับได้ เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นในโรดแมพแผนงานที่ออกมา ซึ่งมีทั้งระยะสั้น และระยะกลาง” เขากล่าวต่อว่า ในช่วงที่มีการประกาศแผนงานทางด้านเศรษฐกิจออกมา ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ นอกจากนี้ตลาดยังน่าจะตอบรับต่อการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะหยุดก็ต่อเมื่อแผนทุกอย่างนิ่ง และเริ่มเข้าสู่ช่วงการปฏิบัติตามแผน ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผน ดัชนีก็คงปรับขึ้น แต่หากทำไม่ได้ก็เป็นความเสี่ยง โดยกรอบดัชนีในช่วงนี้น่าจะอยู่ในระดับ 1,440 จุด และจะปรับขึ้นแตะระดับ 1,500 จุดได้ในช่วงไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 เพราะเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ก็คงเป็นหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ หรือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ และสื่อ เป็นต้น “ในการลงทุน ควรเลือกลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้อง หรือได้ประโยชน์จากโรดแมพที่ออกมา และต้องระมัดระวังหุ้นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรดแมพ แต่ปรับขึ้นแรง เพราะมีความเสี่ยง อย่างไรก็ตามการลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์ก็ต้องระมัดระวัง เพราะราคาได้ปรับขึ้นไปพอสมควรแล้ว กลุ่มที่มองว่ายังลงทุนได้คือ ธนาคารพาณิชย์ และวัสดุก่อสร้าง” สำหรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้น มองว่าแรงซื้อจะกลับเข้ามาก็ต่อเมื่อมีกฏหมายที่ชัดเจนออกมา หรือมีการผ่อนคลายการใช้กฎอัยการศึก เพราะในมุมมองของต่างชาติยังมีความเสี่ยงอยู่ Tags : ไพบูลย์ นลินทรางกูร • คสช. • โรดแมพ • เศรษฐกิจ