รีวิว HTC Desire EYE

หัวข้อกระทู้ ใน 'เทคโนโลยี' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 17 มกราคม 2015.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    ปี 2014 ต้องยอมรับว่าเป็นปีหนึ่งที่สมาร์ทโฟนในกลุ่ม Mid-end มีการทำตลาดแข่งขันกันอย่างรุนแรง (จากปัจจัยหลายๆ อย่างรวมถึงเรื่องค่าเงิน) จนทำให้สมาร์ทโฟนกลุ่ม High-end ไปจนถึง Flagship มีสะเทือนกันอยู่พอสมควร หนึ่งในผู้ผลิตที่ลงแข่งในตลาดนี้อย่าง HTC นั้นก็ได้ส่งสมาร์ทโฟนตระกูล Desire ออกมากินส่วนแบ่งตั้งแต่ตลาด Low-end ไปจนถึง Mid-end อย่างต่อเนื่อง และในปลายปี 2014 HTC ก็ขอสะเทือนตลาดนี้อีกครั้งด้วยการส่ง HTC Desire EYE ออกมาชิงส่วนแบ่งในตลาด Mid-end ด้วยสเปคระดับ Flagship กันเลยทีเดียว

    สำหรับสเปคของ HTC Desire EYE นั้นมีรายละเอียดคร่าวๆ คือใช้ Snapdragon 801 ความถี่ 2.5 GHz (ตัวเดียวกับ One M8) หน้าจอ 5.2 นิ้วความละเอียด 1080p และจุดเด่นใหญ่ๆ ตามชื่อเลยคือกล้องหน้าที่มาพร้อมความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลชทูโทน ส่วนสเปคแบบละเอียดอ่านกันต่อได้จากข่าวเก่า

    ณ วันนี้ HTC Desire EYE ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยราคาสุดคุ้มเพียง 15,990 บาท ผมก็เลยคันไม้คันมืออยากลองหยิบมาเล่น และแน่นอนว่าเอชทีซีประเทศไทยได้ส่งมาให้เล่นอยู่พักใหญ่ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ก็เลยมีโอกาสที่จะนำมาเขียนให้อ่านกันเป็นทางเลือกหนึ่งก่อนจะไปเจอ Flagship รุ่นใหม่ๆ ในเร็วๆ นี้ครับ

    [​IMG]

    รูปทรงตัวเครื่อง


    รูปทรงตัวเครื่องของ Desire EYE เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจาก Desire 816 ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อตอนต้นปี แต่มีการปรับในส่วนรายละเอียดให้มีสีสันมากขึ้น ตัวเครื่องที่ผมได้มาเล่นเป็นสีขาวแดง และยังมีอีกสีหนึ่งคือสีน้ำเงินฟ้า ผิวของตัวเครื่องเป็นโพลีคาร์บอเนตเนื้อเดียวกับ HTC One X+ เปื้อนนิดเปื้อนหน่อยเอาน้ำหยดถูๆ ก็ออกเกลี้ยงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทีนี้เรามาลองดูรูปร่างในมุมต่างๆ กันดูครับ

    ด้านหน้า ไล่จากบนลงล่างจะประกอบไปด้วย กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชทูโทน, Notification Led, เซ็นเซอร์ปรับแสง, ลำโพง HTC BoomSound และหน้าจอขนาดใหญ่ 5.2 นิ้ว

    [​IMG]

    ด้านหลังจะประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชทูโทน และไมโครโฟนตัวที่สอง

    [​IMG]

    ด้านบนเป็นที่อยู่ของแจ๊คหูฟัง ส่วนด้านล่างเป็นพอร์ต MicroSD ข่าวร้ายคือทั้งคู่ไม่มีฝาปิด แต่ข่าวดีคือมันเคลือบสาร Superhydrophobic coating เอาไว้ แน่นอนครับว่าตัวนี้ “กันน้ำ” ได้ในระดับ IPx7

    [​IMG]

    [​IMG]

    ด้านข้างซ้ายเป็นที่อยู่ของถาด microSIM และถาด NanoSIM ส่วนด้านข้างขวาเป็นที่อยู่ของปุ่มปรับเสียง ปุ่ม Power และปุ่มชัตเตอร์

    [​IMG]

    [​IMG]

    ซอฟต์แวร์


    ซอฟต์แวร์ของ HTC Desire EYE ยังคงเป็น HTC Sense 6 บนฐานของ Android 4.4 แต่พิเศษที่มันยังมาพร้อมกับส่วนเสริม Eye Experience ที่ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับกล้องมากพอสมควรซึ่งตรงนี้จะเขียนอธิบายอีกครั้งในหมวดกล้องนะครับ

    ในด้านการใช้งานพื้นฐานถือว่าไม่แตกต่างจาก HTC Sense 6 ใน HTC One M8 และ HTC Sense 5 ใน HTC One M7 และยังมีความสามารถ Motion Launch ติดมาเหมือนกับ HTC One M8 รวมถึงรองรับแบ็คอัพจาก HTC Sense 5 และ HTC Sense 6 ในตัวเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานอีกด้วย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ข่าวร้ายที่สุดคือ HTC Desire EYE เป็นตัวแรกที่ถอดสิทธิ์การใช้งาน PlayStation Mobile เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

    กล้อง


    [​IMG]

    มาถึงจุดเด่นใน HTC Desire EYE แล้วล่ะครับ กับความสามารถด้านกล้องที่ได้รับการยกเครื่องใหม่ทั้งชุดด้วยส่วนเสริม Eye Experience เรื่องกล้องหลังผมคงไม่พูดถึงมากเพราะรายละเอียดไม่ต่างจาก HTC Desire 816 รวมถึงเรื่องแฟลชที่ดีกว่า HTC One M8 พอสมควร

    แต่ที่จะคุยกันหนักๆ ในหัวข้อนี้คือเรื่องกล้องหน้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ หลายคนสงสัยว่าการที่ HTC ยัดกล้องมาให้ขนาดนี้ จะทำให้การถ่ายเซลฟี่นั้นเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใดบ้าง ซึ่งก็ต้องบอกอย่างชัดเจนเลยว่ากล้องหน้าใน Desire EYE ทำให้การถ่ายเซลฟี่ หรือ Video Call นั้นสนุกขึ้นพอสมควรเลยทีเดียวครับ

    ความสามารถใหม่ๆ ในการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้านั้นก็มีเพิ่มเข้ามามากมายเลยล่ะครับ เอาเด่นๆ ก็ความสามารถในการถ่ายเซลฟี่อย่าง Auto Selfie ที่เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่ชาวเซลฟี่ทั้งหลายรอคอยกันแน่นอน เพียงแค่ถือโทรศัพท์ในระยะที่เหมาะสม ไม่กี่วินาทีกล้องก็จะจับโฟกัส และบันทึกภาพให้โดยอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังมีความสามารถ Beauty Enhancement ที่ช่วยให้เราสามารถปรับรายละเอียดใบหน้าเบื้องต้นก่อนถ่ายภาพได้ด้วย

    [​IMG]

    ส่วนความสามารถของ Video Call นั้นเรียกได้ว่ามีการปรับปรุงยกใหญ่ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Video Chat Enhance ครับ ซึ่งความสามารถของเครื่องมือนี้ มีดังต่อไปนี้ครับ

    [​IMG][​IMG][​IMG]

    • Face Tracking เป็นเครื่องมือที่ใช้จับใบหน้าของเรา และสั่งติดตามใบหน้าของเราไปตลอด ผลก็คือ ถึงเรามือจะสั่นแค่ไหน หรืออะไรยังไง ตัวกล้องก็จะติดตามใบหน้าของเราไปโดยอัตโนมัติ
    • Screen Sharing เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแชร์ภาพบนหน้าจอโดยอัตโนมัติ เอาไว้แบบว่าเรามีปัญหาอะไร ก็กดโทรไปหาเพื่อนพร้อมแชร์หน้าจอให้ดูได้ในทันที

    [​IMG][​IMG][​IMG]

    • Flash เป็นคำสั่งเปิดแฟลชแบบอ่อนๆ (แฟลชกล้องหน้าแรงมาก!) เพื่อเพิ่มแสงให้เหมาะสม อย่างเช่นเวลาเราโทรไปหาเพื่อน แต่เราอยู่ในที่มืด ก็สั่งเปิดแฟลชเพื่อเพิ่มแสงได้

    สำหรับตัวอย่างภาพนั้น ผมขอเน้นภาพจากกล้องหน้าแทนกล้องหลังในหลายๆ รีวิวที่ผ่านมา เพื่อวัดกันไปเลยว่า กล้องหน้าบน Desire EYE ก็เทพไม่แพ้รุ่นอื่นๆ เหมือนกัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ที่เหลือไปส่องได้ใน OneDrive ตามสะดวกครับ

    ประสิทธิภาพและการใช้งาน


    สำหรับการใช้งาน Desire EYE นั้น ด้านซอฟต์แวร์เรียกว่าไม่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่ใช้ HTC Sense 6 ทั้งหมด แต่จะมีปัญหาก็ตรงที่ตัวเครื่องนั้นใหญ่เกินมือนิดนึง ด้วยความที่ตัวเครื่องนั้นพ่วงมาด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 5.2 นิ้ว บวกกับการออกแบบของ HTC ที่ยกเอาแผงวงจรบางส่วนมาอยู่ตรงโลโก้ HTC จึงทำให้ตัวเครื่องดูยาวกว่าปกติไปด้วย

    แต่เอาเข้าจริงๆ เนื้อสัมผัสของ Desire EYE นั้นทำให้ตัวเครื่องยึดกับมือได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงการย้ายปุ่ม Power มาอยู่ด้านข้าง ก็ยังทำให้สามารถใช้งานด้วยมือเดียวได้ดีพอสมควรอีกด้วย

    สำหรับประสิทธิภาพของตัวเครื่อง ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้ HTC One (M8) ที่สเปคเท่ากันอีกด้วย ซึ่งผล Benchmark นั้นมีดังนี้ครับ

    • Quadrant Standard - 23789
    • AnTuTu Benchmark - 40389
    • Vellamo HTML5 - 2748
    • Vellamo Metal - 1541
    • Vellamo Multicore - 1906
    • 3DMark Ice Storm Unlimited - 16699
    • PCMark Work Benchmark - 4081

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    แบตเตอรี่


    เมื่อครั้งที่ Desire EYE เปิดตัว หลายคนบอกว่า HTC กั๊ก ให้ไม่สุด ซึ่งมันก็จริงเพราะมีแบตเพียง 2400 mAh จึงทำให้เกิดคำถามว่า “แล้วแบตมันจะพอใช้หรอ????” คำตอบคือ “พอครับ” เผลอๆ อยู่ได้สามวันด้วย!

    ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าใน Desire EYE มีฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Sleep Mode ที่จะปิดการเชื่อมต่อทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเน็ต 4G/3G และ Wi-Fi ยกเว้นสัญญาณโทรศัพท์ เมื่อเข้าโหมดสแตนด์บายเหมือนกับ Stamina Mode ของโซนี่ รวมถึงโหมด Ultra Power Saving ที่จะยืดอายุแบตได้อีก 8-10 ชั่วโมง เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า 10% ด้วยการจำกัดฟังก์ชันการใช้งานให้เหลือเพียงโทรเข้า-โทรออก และส่งข้อความเท่านั้น

    เดิมที Desire EYE ก็ได้รับการปรับแต่งเรื่องการใช้พลังให้ออกมาดีที่สุด ผลคือใช้งานปกติ ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม ฟังเพลง โทรศัพท์ เล่นเน็ต (4G !) หรือเซลฟี่ Desire EYE อยู่ได้วันกว่าๆ (ถอดสายตอนเช้า ประมาณสี่ทุ่มกลับมาเหลือ 20%) แต่ถ้าไม่ได้ใช้หนักมากอย่างเช่นผู้ใหญ่ที่เน้นแต่โทรเข้า-โทรออก (ผมไม่สบายสามวัน รับสายโทรศัพท์อย่างเดียว) แบตก็อยู่ได้ขำๆ “3 วันกว่าๆ” เลยล่ะครับ

    งานนี้เลยเกิดคำถามขึ้นว่า ขนาดตัว Mid-end ยังทำได้ดีขนาดนี้ แล้วตัวท็อปปีหน้า ชะตากรรมจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราก็คงต้องรอดูกันต่อไปครับ

    สรุป


    สรุปก็คือ HTC Desire EYE ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มหมื่นกลางๆ ที่น่าสนใจพอตัวเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่สเปคด้อยกว่าแต่ราคาสูงกว่า และด้วยฟังก์ชันด้านกล้องที่จัดเต็มชนิดไม่แคร์ชาวบ้าน ก็เรียกได้ว่า Desire EYE น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้วล่ะครับ ยิ่งตลาดหันมา mid-end กันมากขึ้น ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ลงเลยทีเดียวครับ

    ข้อดี

    • แบตให้น้อยแต่ทน
    • สเปค Flagship ในราคา Mid-end
    • กล้องหน้าประสิทธิภาพสูง
    • เครื่องไม่ร้อนเหมือน One M8 !!!

    ข้อด้อย

    • ขนาดเครื่องใหญ่เกินไปหน่อย
    • ลำโพงให้เสียงไม่ดังมาก เมื่อเทียบกับ BoomSound รุ่นก่อนๆ
    HTC, HTC Desire, Mobile, Android, Review
     

แบ่งปันหน้านี้