"เคพีเอ็มจี" แนะทุนไทยลงทุนใน "เวียดนาม" หลังเปิดประเทศมากขึ้น สอดรับนโยบายรัฐเร่งผลักดันการลงทุนจากต่างประเทศ นายเวอร์ริค ไคลน์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศเวียดนามและกัมพูชา กล่าวถึงโอกาสของธุรกิจไทยจากการเติบโตของประเทศเวียดนามและกัมพูชาว่า ปี 2558 เป็นโอกาสเหมาะที่ธุรกิจไทยจะเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศเวียดนามเพื่อประโยชน์จากการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทั้งนี้ แนะนำว่าธุรกิจไทยไม่ควรรีรอให้เกิดการเปิดเออีซีอย่างเป็นทางการก่อนจึงเข้าลงทุน เพราะจะทำให้ธุรกิจไทยเสียโอกาสการลงทุน เหมือนที่เคยเสียโอกาสไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว “เมื่อ 20 ปีก่อน ประเทศเวียดนามมีการเติบโตจากการเข้าลงทุนโดยตรงในภาคการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนจากฝั่งตะวันตก ทั้งอเมริกาและยุโรป รวมถึงประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน ส่วนประเทศไทยต้องพลาดโอกาสการลงทุนเพราะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบัน ฐานเงินทุนธุรกิจไทยแข็งแกร่งแล้ว” นายเวอร์ริค กล่าวว่า ความเป็นระบบพรรคการเมืองเดี่ยวของประเทศเวียดนามทำให้ภาครัฐกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศได้เต็มที่ โดยเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา ภาครัฐก็มีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบด้านการลงทุนต่างๆ รวมไปถึงเรื่องภาษี ให้สะดวกกับนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น นอกจากนั้น ในปี 2559 ประเทศเวียดนามจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งก็เชื่อว่านโยบายด้านการผลักดันเศรษฐกิจและสนับสนุนการลงทุนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับธุรกิจในประเทศเวียดนาม ส่วนมากไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์จึงมีภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจค่อนข้างมาก ทำให้ภาคธุรกิจมีความอ่อนแอ และในบางธุรกิจยังมีกฎระเบียบเข้มงวด และเข้าถึงตลาดเงินตลาดทุนค่อนข้างยาก “ประเมินว่าภาคธุรกิจของไทยได้เปรียบเอกชนในประเทศเวียดนามเอง และเอกชนข้ามชาติ ธุรกิจที่น่าสนใจเข้าลงทุนคือธุรกิจที่เกี่ยวกับโดเมสติก อาทิ ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจจัดจำหน่าย ท่องเที่ยว สินค้าเกษตร อสังหาริมทรัพย์ การแพทย์ และธุรกิจบันเทิง” ปัจจัยที่จะทำให้ภาคธุรกิจของไทยประสบความสำเร็จในประเทศเวียดนาม คือประสบการณ์การทำธุรกิจที่ยาวนานกว่า รวมถึงความคล้ายคลึงกันเรื่องสินค้าการเกษตร ลักษณะทางประชากรศาสตร์ การเปลี่ยนสู่สังคมเมือง รูปแบบการใช้ชีวิต และการได้รับการต้อนรับจากภาคธุรกิจเวียดนาม เขากล่าวเพิ่มอีกว่า ในส่วนของธุรกิจขนาดกลางและเล็กของไทยที่ต้องการเข้าทำธุรกิจในประเทศเวียดนาม จำเป็นต้องมีพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อความสะดวกในด้านการปฏิบัติตามกฎต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกิจขนาดกลางและเล็กของภาคธุรกิจไต้หวันเป็นตัวอย่างด้านความสำเร็จที่นักธุรกิจไทยควรศึกษา ทั้งนี้ ในปี 2558 ประเทศเวียดนามถูกคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 6% หรือคิดเป็นขนาดเศรษฐกิจ 200,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่า 50% ของขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ถูกคาดการณ์ไว้ที่ 400,000 ล้านดอลลาร์ ด้านนายเจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ กรรมการบริหาร บริษัท เคพีเอ็มจี ประเทศไทย และหัวหน้าหน่วยงาน Global Thai Practice กล่าวว่า ในปี 2557 ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามเป็นอันดับที่ 9 ส่วนแนวโน้มปีนี้ก็น่าจะไปลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศเวียดนามมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 5-6% ขณะเดียวกัน ภาครัฐจะผ่อนคลายนโยบายต่างๆ ให้เอื้อประโยชน์แก่นักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในการจะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเวียดนามให้ประสบความสำเร็จนั้น ภาคธุรกิจไทยจะต้องศึกษาตลาด รูปแบบการใช้ชีวิต รู้ความต้องการ และเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศเวียดนามให้ถ่องแท้ Tags : เวอร์ริค ไคลน์ • เคพีเอ็มจี