หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายด้านดิจิทัล 8 ฉบับรวด (รวมทั้งชุด 10 ฉบับ) ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงร่างกฎหมายชุดนี้ตามมา (ดูรายละเอียดของ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ เปิด ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่) วันนี้ เครือข่ายภาคประชาสังคม 6 องค์กร ได้แก่ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย มูลนิธิโลกสีเขียว FTA Watch กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน สถาบันพัฒนาสื่อภาคประชาชน และเครือข่ายพลเมืองเน็ต ได้แถลงข่าวและตั้งข้อสังเกตกับร่างกฎหมายชุดนี้ โดยเห็นว่าชุดกฎหมายดังกล่าวละเมิดสิทธิเสรีภาพในหลายด้าน ผูกขาดทรัพยากร และไม่ได้ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้เป็นการใช้ข้ออ้างเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงของรัฐ รายละเอียดมีดังนี้ ชุดกฎหมายเหล่านี้โดยเนื้อแท้ ไม่ใช่กฎหมาย “เศรษฐกิจดิจิทัล” แต่เป็นชุดกฎหมายความมั่นคง เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.กสทช. เป็นการถือโอกาสดึงคลื่นความถี่กลับมาอยู่ในมือภาครัฐและกองทัพ ซึ่งจะกลับไปเหมือนในสมัยก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 กฎหมายชุดนี้ทำลายหลักการที่ว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ และทำลายกลไกการแข่งขันเสรีเป็นธรรม จนกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายเพื่อ “เศรษฐกิจและกองทัพ” ร่าง พ.ร.บ. กสทช. ทำลายความเป็นองค์กรอิสระของ กสทช. ที่ผ่านมาภาคประชาชนเห็นร่วมกันว่า กสทช.จำเป็นต้องพัฒนาระบบธรรมาภิบาลให้ดีขึ้น ทั้งเรื่องการใช้งบประมาณและการใช้อำนาจ แต่ร่าง พ.ร.บ. กสทช.ฉบับใหม่ไม่ได้แก้ปัญหาดังกล่าว และยังมีร่างกฎหมายใหม่อีกหลายฉบับที่จะสร้างหน่วยงานที่มีโครงสร้างงบประมาณและการบริหารลักษณะคล้ายกันขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก กองทุนที่มาจากรายได้ของ กสทช. ถูกเปลี่ยนวัตถุประสงค์ไปจากเดิมเป็นอย่างมาก วัตถุประสงค์เดิมในการเป็นกองทุนวิจัยพัฒนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ ส่งเสริมคุ้มครองผู้บริโภค ส่งเสริมผู้ประกอบกิจการบริการชุมชน ส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อของผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส และส่งเสริมจริยธรรมการประกอบวิชาชีพ ได้หายไปหมด และกลายสภาพเป็นกองทุนเพื่อให้รัฐและเอกชนกู้ยืม ร่างกฎหมายหลายฉบับ ไม่ส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างที่อ้าง อีกทั้งคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในความเป็นส่วนตัวที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และกระทบการประกอบธุรกิจด้านข้อมูลข่าวสาร ร่างกฎหมายทั้งหมดขาดกลไกคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและสิทธิผู้บริโภคที่ชัดเจน อีกทั้งสัดส่วนของคณะกรรมการชุดต่างๆ ก็ไม่มีการรับประกันสัดส่วนจากผู้แทนด้านที่เกี่ยวข้อง ที่เห็นชัดที่สุดคือคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่มีการตัดกรรมการด้านสิทธิและผู้บริโภคออกไป 3 ตำแหน่ง และเพิ่มกรรมการด้านความมั่นคงเข้ามา 2 ตำแหน่ง ความไม่ชัดเจนของสถานะทางกฎหมายของหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเป็น “หน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ” ว่าสำนักงานและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานจะมีความรับผิดตามกฎหมายอย่างไร มีกลไกร้องเรียนตรวจสอบได้ทางไหน Law, Thailand, NBTC