ผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอ ยอมรับ หุ้นไอพีโอที่ตั้งราคาแพงกว่าปกติเสี่ยงเข้าเกณฑ์แคชบาลานซ์สูง การเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (ไอพีโอ) ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินมักตั้งราคาเสนอขายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะหุ้นที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดเอ็มเอไอ เช่น บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ที่เพิ่งทำการซื้อขายไปไม่นานนี้ ได้เสนอขายไอพีโอที่ 12.75 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) สูงถึง 159 เท่า หรือ บริษัท เค ซี เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) หรือ KCM มีราคาไอพีโอที่ 1.3 บาทต่อหุ้น คิดเป็นค่าพี/อีที่ 89 เท่า ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดข้อกังวลว่า หุ้นเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะติดบัญชีซื้อขายด้วยเงินสด(แคชบาลานซ์) ได้ง่ายขึ้น นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เปิดเผยว่า การเสนอขายไอพีโอในระยะหลังที่มีราคาสูงยอมรับว่าบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงถูกบังคับให้ซื้อขายด้วยบัญชีแคชบาลานซ์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นความท้าทายของที่ปรึกษาทางการเงินในการตั้งราคาที่เหมาะสมเพื่อจัดจำหน่าย "การเสนอขายหุ้นในระดับ พี/อี ที่สูง เป็นความเสี่ยงที่จะถูกให้ต้องซื้อขายด้วยเกณฑ์แคชบาลานซ์อยู่แล้ว ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดให้หุ้นที่มีระดับพี/อีสูงกว่า 40 เท่า และมีการหมุนต่อรอบตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ ก็จะต้องทำการซื้อขายด้วยบัญชีแคชบาลานซ์ทันที ซึ่งหุ้นเข้าใหม่ที่พี/อีสูงจะเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้แน่นอน แต่ต้องไปพิจารณาในการหมุนรอบของหุ้นอีกครั้ง" ในเรื่องนี้ส่วนตัวมองว่าขึ้นอยู่กับที่ปรึกษาทางการเงินจะกำหนดกลยุทธ์ในการขายหุ้นอย่างไร ที่ปรึกษาทางเงินก็อาจใช้วิธีคำนวณการเติบโตในอนาคตเพื่อคิดราคาหุ้น เมื่อใช้วิธีดังกล่าวจะทำให้ระดับพี/อี ในปัจจุบันสูงมากกว่าปกติ หลังจากนี้มองว่าการประเมินราคาของหุ้นในหลายส่วน อนาคตที่ปรึกษาทางการเงินอาจทำงานได้ยากขึ้น ทั้งนี้นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการที่หุ้นมีระดับพี/อีสูงไม่ได้แปลว่าจะมีศักยภาพไม่ดี ซึ่งในอนาคตหลายบริษัทที่ขาดทุนจะเริ่มพลิกมีกำไร อย่างไรก็ตามในปีนี้คาดว่าจะมีหุ้นไอพีโอทั้งสิ้น 20 บริษัท ในครึ่งปีแรกจะมีบริษัทที่เข้าทำการจดทะเบียน 3-4 บริษัท และครึ่งปีหลังอีก 16 บริษัท ทั้งนี้มีบริษัทในกลุ่มพลังงาน ที่จะเข้าด้วยหลักเกณฑ์มาร์เก็ตแคป 1 บริษัท แม้กลุ่มพลังงานจะมีปัญหาในเรื่องราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง และการเข้าด้วยหลักเกณฑ์มาร์เก็ตแคปที่อาจสร้างความไม่เชื่อมั่นกับนักลงทุน แต่จากการพูดคุยกับบริษัทยังคงเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ตามกำหนดการเดิม เพราะมองว่า บริษัทนั้นอยู่ในธุรกิจพลังงานทดแทน นอกจากนี้ความเชื่อมั่นในหุ้นที่เข้าการซื้อขายด้วยเกณฑ์แคชบาลานซ์เริ่มได้รับการตอบรับที่มากขึ้น แหล่งข่าวจากที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า การประเมินราคาหุ้นไอพีโอจะประกอบไปด้วย 4 หลักการ คือ 1 พื้นฐานของบริษัทในปัจจุบัน 2.การเติบโตในอนาคต 3.จำนวนเงินทุนที่บริษัทคาดหวัง และ 4 ภาวะตลาดหุ้น ซึ่งปัจจุบันที่ปรึกษาทางเงินมักใช้วิธีการคำนวณระดับราคาไอพีโอ จากการเติบโตในอนาคต หรือ ฟอร์เวิร์ด พี/อี มาคำนวณ ทำให้ระดับพี/อีย้อนหลัง 4 ไตรมาสจะสูงกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในอดีตจะพบว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ต่ำกว่าปกติ เกิดจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยพิเศษ ทำให้เราเชื่อว่า เมื่อผลการดำเนินไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 ออกมา จะช่วยดึงค่าพี/อีให้กลับมาอยู่ในระดับปกติมากขึ้น Tags : ประพันธ์ เจริญประวัติ • เอ็มเอไอ • ไอพีโอ • ราคาหุ้น