ดัชนีหุ้นกลุ่มสื่อสารร่วงแรงเกือบ 2% หลังการเมืองเปลี่ยน "สามารถ" หนักสุด ราคาทรุด 4.85% นักลงทุนถล่มขายเหตุผู้บริหารถูกเรียกรายงานตัว การเคลื่อนไหวดัชนีราคาหุ้นกลุ่มสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ 22-29 พ.ค.2557 พบว่าปรับลดลงต่อเนื่อง และคิดเป็น 1.92% ทั้งนี้หากเทียบกับดัชนีหุ้นไทยในช่วงเวลาเดียวกันปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.40% มาอยู่ที่ 1408.51 จุด ส่วนหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่ราคาปรับลดลงมากสุด ได้แก่ หุ้นสามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) ลดลง 4.85% รองลงมา หุ้นไทยคม (THCOM) ลดลง 4.38% หุ้นเอ็มลิงค์ (MLINK) ลดลง 4.23% และหุ้นอินทัช (INTUCH) ลดลง 4.19% นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่าการที่ราคาหุ้นสื่อสารปรับตัวลงแรงเพราะส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่และมีการถือครองของนักลงทุนต่างชาติในสัดส่วนที่สูง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติได้เทขายเพื่อปิดความเสี่ยงด้วยการขายหุ้นออกไปก่อน ส่งผลให้ราคาปรับลดลงแรง อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นในครั้งนี้ไม่น่าจะทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี กล่าวว่าหุ้นกลุ่มสื่อสารมีประเด็นที่จะน่าจะช่วยสนับสนุนคือ การเข้าใกล้การประมูล 4G อีกก้าว ฝ่ายวิจัยมีความเชื่อมั่น 75% จากเดิมมั่นใจ 95% ก่อนการรัฐประหาร ว่ากสทช. จะสามารถจัดการประมูลได้ตามกำหนดการในเดือนสิงหาคมนี้ และเชื่อว่าหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำคัญของการประมูลจะไม่เปลี่ยนแปลง โดยมองว่าบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) จะสามารถเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ แม้จะถือครองความถี่ 2X50 เมกะเฮิรตซ์ของคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ภายใต้สัญญาสัมปทานกับ CAT ผลการวิเคราะห์ต้นทุน/ผลประโยชน์บ่งบอกว่าเอไอเอส และดีแทค น่าจะเป็นผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ โดยเชื่อว่าเอไอเอส จำเป็นต้องมีย่านความถี่ใหม่เพื่อเพิ่มแบนด์วิธ และเพื่อให้สามารถเปิดตัวบริการ 4G / LTE ได้เช่นเดียวกับคู่แข่ง นอกจากนี้บริษัทน่าจะจัดสรรงบลงทุนบางส่วนในโครงข่าย 3G/2.1 จิกะเฮิร์ตซ์ สำหรับการวางโครงข่าย 4G/1800 เมกะเฮิรตซ์ ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นเพื่อรองรับความต้องการแบนด์วิธของลูกค้า ขณะเดียวกันมองว่าดีแทค จะสามารถคืนทุนค่าใบอนุญาตภายในระยะเวลา 2-3 ปี หากบริษัทสามารถโอนย้ายลูกค้าที่ใช้อุปกรณ์ 2G จากโครงข่าย 1800 เมกะเฮิรตซ์ ภายใต้สัญญาสัมปทานไปยังโครงข่ายตามใบอนุญาตใหม่ รวมทั้งรับรู้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการประหยัดค่าใช้จ่ายในการกำกับดูแล หักค่าเช่าโครงข่ายบางส่วนที่ต้องชำระให้กับโครงข่ายภายใต้สัญญาสัมปทาน " แม้ เอไอเอส อาจได้ประโยชน์มากกว่าดีแทค หากมีการจัดการประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ และ 900 เมกะเฮิรตซ์ แต่ดีแทคเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อพิจารณาด้านความเสี่ยง-ผลตอบแทน รวมถึงหากการประมูลต้องเลื่อนออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุใด นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังชอบดีแทค มากกว่าเอไอเอส เนื่องจากบริษัทมีอัตราส่วนอีบิทด้าขยายตัวสูงกว่าและมีการบริหารเงินทุนเชิงรุก"นักวิเคราะห์กล่าว นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง กล่าวว่าราคาหุ้นสามารถที่ปรับลดลงแรง น่าจะมีความผันผวนเพียงชั่วคราว หรือจะสำคัญเท่ากำไรที่ยั่งยืน ทั้งนี้ คาดกำไรไตรมาส 2/2557 ของ บริษัทสามารถไอโมบาย (SIM) ซึ่งเป็นบริษัทลูกมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ และบริษัทในเครือที่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างบริษัทสามารถยู (SAMART U-TRANS) รับรู้รายได้วิทยุการบินสูงที่สุดของปีในไตรมาส 2 ของปีนี้ หนุนกำไรของกลุ่มสามารถมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ได้ในไตรมาสดังกล่าว "การที่ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงจากจิตวิทยาเชิงลบหลังผู้บริหารถูกเรียกรายงานตัวจาก คสช. แต่ไม่กระทบปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากปัจจุบันการดำเนินงานทุกอย่างภายในบริษัทยังคงเป็นปกติ ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ด้านปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง กำไรเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ และมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ในไตรมาส 2/2557 การปรับตัวลงเป็นโอกาสทยอยสะสม นอกจากนี้จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างจังหวัด"นักวิเคราะห์กล่าว Tags : ตลาดหุ้น • กลุ่มสื่อสาร • นักลงทุนต่างชาติ