"ฉาย บุนนาค" ฉากหลัง "โซลูชั่น คอนเนอร์" บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC หลังประกาศตัวลงทุนใน 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสื่อ "เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป" และด้านบันเทิง "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" วานนี้ (18 ธ.ค.) ทำให้เกิดคำถาม ผู้อยู่เบื้องหลังเกมการเข้าลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท ใน 2 บริษัทดังกล่าว คือใคร และ "ฉาย บุนนาค" คงหนีไม่พ้น ที่ถูกคนในวงการตลาดหุ้นกล่าวหาว่า มีส่วนรับรู้ในการเข้าลงทุนครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมา คนในแวดวงตลาดหุ้น กล่าวหาว่า แม้ "ฉาย" ไม่ได้ถือหุ้นโดยตรงในโซลูชั่น คอนเนอร์ แต่ "ฉาย" มีสายสัมพันธ์กับบริษัทนี้ ย้อนรอย ฉาย บุนนาค เริ่มเข้าสู่วงการหุ้นครั้งแรก ขณะอายุเพียง 22-23 ปี หลังเรียนจบปริญญาตรีด้านไฟแนนซ์ จาก LSE (London School of Economics) ประเทศอังกฤษ เพราะ "โดนเพื่อนหลอก" ให้ขาดทุนหุ้นกฤษดามหานคร หรือ KMC ในช่วงนั้น แบบย่อยยับ ด้วยการเล่น Net Settlement โดยเข้าไปซื้อหุ้น KMC จำนวน 1 ล้านหุ้น ราคา 26 บาท และรีบขายออกไปในราคา 23 บาท ทั้งที่ในกระเป๋ามีเงินแค่ "หลักแสน" บทเรียนของความเจ็บปวด ทำให้ ฉาย คิดอยากเอาชนะ โดยเริ่มศึกษาถึงกลไกของตลาดหุ้นว่าอยู่ตรงไหน และพิจารณาว่า ต้องใช้เทคนิคอะไรในการเล่นหุ้นบ้าง ใช้เวลาไม่นาน ฉาย ก็ค้นพบว่า เคล็ดลับการเล่นหุ้นไม่ให้ขาดทุนอยู่ตรงที่ "อย่าให้ความโลภครอบงำ" เพราะนักลงทุนรายย่อยที่ติดหุ้น ส่วนใหญ่ "โลภมาก" (ลาภหาย) กันทั้งนั้น นอกจากนั้นก่อนจะลงทุนหุ้นตัวไหน ฉาย ต้องมีความรู้ในธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี เพราะหากไม่รู้ว่าบริษัทนั้นมีของดีอะไรซ่อนอยู่ และพื้นฐานเป็นอย่างไร ซื้อไปก็คง "ไม่มีกำไร" ขณะเดียวกันต้องมีวินัยในการลงทุน อธิบายง่ายๆ ว่า เมื่อถึงเวลาต้อง "ตัดขาย" (Cut Loss) ก็ให้ทำทันที แต่จะขายในราคาเท่าไรไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ให้ดูที่สถานการณ์เป็นสัญญาณ สุดท้าย คือ "ห้ามฝืนตลาด" (เด็ดขาด) และหุ้นไม่มีสภาพคล่องก็ "ไม่ควรเล่น" เพราะไม่ว่าหุ้นตัวนั้นจะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีดีมานด์หุ้นก็ไม่มีทางขึ้นได้ ฉาย บอกถึง สไตล์การลงทุนของตัวเองว่า เวลาตลาดสวิงเขาจะเทค (ขายทำกำไร) ก่อน สมมุติซื้อหุ้นที่ราคา 2 บาท แต่มองว่าราคาพื้นฐานอยู่ 4 บาท แต่ระหว่างทาง 2 ไป 4 ผมอาจจะขาย 3 บาท มาซื้อใหม่ 2.80 บาท "ผมจะซื้อๆ ขายๆ เล่นอย่างนี้ไปตลอดทาง หรืออย่างตอนสภาวะตลาดไม่ดี ผมมองว่าหลุด 800 จุด แน่ ก็ยังไม่เทรด ผมจะดูเทคนิคเคิลเป็นหลัก พอดูกราฟเสร็จเราจับจิตวิทยาการลงทุนของตลาดได้ ก็จะเล่นตามฟันด์โฟลว์ ตามโมเมนตั้มของตลาด" การทำกำไรของฉาย ก็ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ เป็นจุดตัดสิน "ผมซื้อ PTTAR ไป 6 ล้านบาท กำไรแสนเดียวก็เอา (เผ่น) แล้ว ตอนแรกมองว่ามันน่าจะรีบาวด์แต่มันไม่รีบาวด์ก็ต้องรีบขายออกไป ผมจะถือคติว่า กำขี้ ดีกว่ากำตด ดีกว่าขาดทุน" นอกจากนี้เขายัง เชื่อว่า โชค-ดวง-เครือข่าย ก็เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตคนเราประสบความสำเร็จ เพราะต่อให้เก่งมาจากไหน แต่ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ก็อาจไปไม่ไกล ส่วนเงินกำไรนอกจากจะนำไปลงทุนต่อแล้ว ฉายยังนำส่วนหนึ่งไปลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมให้เช่าด้วย "จุดนัดฝัน" ของฉาย คืออะไร? เป้าหมายในชีวิตของเขาไม่ได้ต้องการ "รวยล้นฟ้า" แต่อยากมีความสุขแบบไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ความสำเร็จสำหรับ ฉาย คือ การปั้นให้บริษัทที่มันกำลังจะตายให้ประสบความสำเร็จ คือความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่การมีพอร์ตใหญ่ เพราะพอร์ตใหญ่เท่าไรมันก็ไม่รู้จักคำว่าพอ ไม่รู้ว่าความสำเร็จมันอยู่ตรงไหน "ตอนนี้มีเท่านี้..ผมก็ยังไม่พอ" ฉาย เริ่มประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ปี 2548 เรื่อยมา โดยเฉพาะในปี 2550 ฉาย เคยบอกว่า พอร์ตของเขาโตเร็วมากกระโดดขึ้นเท่าตัว จาก 100 ล้านบาท มาทะลุ 200 ล้านบาท แต่ในช่วงปี 2551 มีคนเคยประเมินว่า พอร์ตหุ้นของฉายน่าจะถึงระดับ 500 ล้านบาท แต่จนถึงวันนี้พอร์ตของ ฉาย คงประเมินได้ยาก เพราะวันนี้ ฉาย ลงทุนผ่านนอมินี หลังจากถูกสำนักงานก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ตรวจสอบ Tags : ฉาย บุนนาค • SLC • เนชั่น