"บล.ทิสโก้" ประเมิน บริษัทจดทะเบียนไทยค้าขายรัสเซียน้อย ไม่กระทบผลการดำเนินงานแม้เงินอ่อนค่าต่อเนื่อง สำหรับการเคลื่อนไหวตลาดหุ้น' class='anchor-link' target='_blank'>ตลาดหุ้น ไทยวานนี้ (17 ธ.ค.) ตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการซื้อขาย 1,480.20 จุด เพิ่มขึ้น 18.46 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.26% มีมูลค่าการซื้อขาย 63,479.09 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ ขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 1,487.48 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,461.33 จุด ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติ ยังคงขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง และวานนี้ขายสุทธิอีก 5,829.79 ล้านบาท ตามด้วยบัญชีโบรกเกอร์ที่ขายสุทธิ 1,059.41 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 5,199.32 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,689.89 ล้านบาท ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า การที่ค่าเงินของรัสเซียอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องนั้น มองผลกระทบกับบริษัทจดทะเบียนไทยมีน้อยมาก เพราะที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียน ไม่ได้มีการค้าขายโดยตรงกับรัสเซียมากนัก แต่มองส่วนที่กระทบจริงๆ น่าจะเป็นในกลุ่มทวีปยุโรปมากกว่า เพราะในกลุ่มดังกล่าว มีการค้าขายกับรัสเซียค่อนข้างสูง จึงมีความเสี่ยงมากกว่า "ทวีปยุโรปมีความเสี่ยงที่มากกว่า เมื่อเทียบกับประเทศไทย เพราะพวกเขามีการค้าขายกับรัสเซียค่อนข้างมาก แม้แยกเป็นรายประเทศอาจมีปริมาณที่ไม่สูงนัก แต่เมื่อนำมูลค่ารวมกัน ก็เป็นระดับหนึ่งที่ต้องระวัง ซึ่งหากมีปัญหาเกิดขึ้นทวีปยุโรปจะประสบปัญหาก่อน"นายอภิชาติ กล่าว สำหรับผลกระทบกับเงินทุนเคลื่อนย้าย พบว่า ช่วงที่ผ่านมาเงินทุนทั่วโลกมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงในหลายประเทศในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ นอกจากปัจจัยของค่าเงินรัสเซียแล้ว ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่ผันผวนด้วย ซึ่งหลังจากนี้ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ยกเว้นหากรัสเซียใช้มาตรการควบคุมเงินไหลออก (แคปปิตอล คอนโทรล) อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น' class='anchor-link' target='_blank'>ตลาดหุ้น ทั่วโลกอีกครั้ง ขณะที่ นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย ลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ผลกระทบจากแข็งค่าของค่าเงินรัสเซีย จะไม่มีกระทบกับบริษัทจดทะเบียนในไทยมากนัก เพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำการค้ากับรัสเซียมากจนน่ากังวล แต่สิ่งที่น่าห่วง คือ ผลกระทบกับตลาดหุ้น' class='anchor-link' target='_blank'>ตลาดหุ้น โลก หากเกิดความวิกฤติการเงินขึ้น ผลกระทบกับตลาดหุ้น' class='anchor-link' target='_blank'>ตลาดหุ้น ทั่วโลกนั้นจะเป็นลักษณะของการส่งต่อแรงกระเพื่อม หากเกิดวิกฤติจะทำให้หุ้นทั่วโลกผันผวนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มทวีปยุโรปตะวันออกที่มีการค้าขายกับรัสเซียค่อนข้างมาก แต่สำหรับตลาดหุ้น' class='anchor-link' target='_blank'>ตลาดหุ้นไทยนั้น อยากให้นักลงทุนจับตาปัจจัยดังกล่าวด้วย แม้จะเป็นปัจจัยที่ไม่ถือว่าใกล้ตัวแต่ก็จะละเลยไม่ได้ สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้น' class='anchor-link' target='_blank'>ตลาดหุ้น ไทยในระยะสั้นมองว่าจะสามารถกลับไปยืนที่ระดับ 1,600 จุดได้อีกครั้ง เพราะตลาดหุ้น' class='anchor-link' target='_blank'>ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนมือของนักลงทุน ผู้ที่มีต้นทุนต่ำได้ขายหุ้นออกไปแล้วจำนวนหนึ่ง ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของนักลงทุนเริ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังไม่พบว่ามีปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบกับนักลงทุน ส่วนการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่สะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว โดยกลุ่มที่แนะนำให้ลงทุนคือกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ทั้งกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มธนาคาร ขณะที่ นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีไอเอ็มบี กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยสามารถดีดตัวขึ้น หลังจากวันก่อนมีความผันผวนอย่างมาก โดยดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ได้รับแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่มพลังงาน และการฟื้นตัวของดัชนีในภูมิภาค หลังราคาน้ำมันเมื่อคืนนี้อยู่ในลักษณะทรงตัว ปรับตัวลดลงไม่มากอย่างเมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านมา ส่วนการอ่อนค่าของค่าเงินรูเบิลในรัสเชีย อันเป็นผลมาจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน เพราะมูลค่าการส่งออกน้ำมันในรัสเซียสูงถึง 2 ใน 3 ของการส่งออก และการอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วของค่าเงินรูเบิล ส่งผลให้ธนาคารกลางรัสเชียต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 6.5% เป็น 17% เพื่อป้องกันการลื่นไหลของค่าเงิน แต่ยังไม่ได้ทำให้ค่าเงินรูเบิลนั้นแข็งตัวขึ้น หลังการอ่อนตัวลงของค่าเงินรูเบิล ตลาดเริ่มจับตามองค่าเงินรูเปี๊ยะห์ของอินโดนีเชีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ และอาจเป็นรายต่อไปที่ค่าเงินอาจจะอ่อนตัวลงมา ซึ่งขณะนี้ค่าเงินรูเปี๊ยะห์อ่อนตัวลงต่ำสุดในรอบ 16 ปี Tags : ตลาดหุ้น • ค่าเงินรูเบิล • ตลาดหุ้น • รัสเซีย • บล.ทิสโก้