"สมาคมโบรกฯ"รับระบบเทรดอัตโนมัติซ้ำเติมตลาดหุ้นไทยฉุดดัชนีดิ่งแรงยันพอร์ตโบรกฯขายหุ้นต่อเนื่องเป็นเรื่องปกติ นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ระบบการซื้อขายหุ้นในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขายอัตโนมัติมีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นแน่นอน เพราะเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงแรง เมื่อมีการตั้งโปรแกรมที่ตั้งค่าไว้ในจุดที่กำหนดหรือเข้าทริกเกอร์ โปรแกรมดังกล่าวก็จะส่งคำสั่งซื้อขายออกมาทันที และยอมรับว่าส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นแน่นอน ทำให้ราคาหุ้นอาจปรับตัวไปทิศทางใดมากกว่าระดับปกติ "การซื้อขายอัตโนมัติมีผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นปรับลงแรงกว่าระดับปกติ ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่า โปรแกรมซื้อขายจะทำในรูปแบบส่งคำสั่งตามความเคลื่อนไหวของตลาดนั้น ไม่ได้เป็นตัวชี้นำตลาด แต่เป็นตัวส่งคำสั่งตามทิศทางการเคลื่อนไหวของการซื้อขายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งซึ่งอาจเป็นการซ้ำเติมตลาดมากกว่า" นางภัทธีรา กล่าวว่า การซื้อขายของพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ปัจจุบัน ยังเป็นทิศทางปกติ ซึ่งพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะเทรดดิ้ง เพราะต้องการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน จากการตรวจสอบพอร์ตลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ ยังไม่พบความผิดปกติจากการซื้อขายหุ้น กรณีการบังคับขายหุ้นช่วงที่ดัชนีลดลงแรงนั้น สัดส่วนไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือตลาดอนุพันธ์ (ทีเฟ็กซ์) นั้น มีระบบที่ทำให้นักลงทุนต้องวางเงินค้ำประกันสัญญาเพิ่มเติมใน 1 ชั่วโมง หากวางไม่ทันก็จะบังคับขายหุ้น ทำให้สัดส่วนมากกว่าการบังคับขายในตลาดหุ้น รวมทั้ง สัดส่วนนักลงทุนในปัจจุบันมีบัญชีที่ซื้อขายด้วยเงินสดระดับ 20 % ของบัญชีทั้งหมด นางภัทธีรา กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงแรงฐานะความเข้มแข็งของบริษัทหลักทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และการปล่อยสินเชื่อ เพื่อซื้อหลักทรัพย์ในจำนวนที่น้อยเพียง 40,000 ล้านบาท และยังไม่ได้มีข้อร้องเรียนจากทางสมาชิกถึงปัญหาการปล่อยสินเชื่อ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงในระยะถัดไปคือการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันต้องมีความรอบคอบมากขึ้น เพราะการปรับตัวลงของหุ้นครั้งนี้เป็นกลุ่มพลังงานที่ถือว่ามีพื้นฐานที่ดี สำหรับหลักเกณฑ์การเรียกหลักประกันเพิ่มเติม หากหลักทรัพย์ค้ำประกันมีมูลค่าลดลงเหลือ 70% จากทั้งหมด เจ้าหน้าที่การตลาดจะแจ้งไปยังเจ้าของบัญชี โดยจะให้เจ้าของบัญชีดำเนินการเพิ่มหลักทรัพย์ค้ำประกันในพอร์ตลงทุน โดยตลาดทีเฟ็กซ์จะต้องเพิ่มภายใน 1 ชม. หรือในตลาดหุ้นนั้นจะใช้ระยะเวลา 1 วัน และอีกทางเลือกหนึ่งคือให้เจ้าหน้าที่การตลาดขายหุ้นดังกล่าวออกไป แต่หากยังไม่มีการดำเนินการแนวทางใดแนวทางหนึ่งจนทำให้หลักทรัพย์ค้ำประกันเหลือ 30 % เจ้าหน้าที่การตลาดจะบังคับขายหุ้นทันที นายอิสระ หวั่งหลี ผู้จัดการ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า การที่บริษัทมีวอลุ่มการซื้อขายพุ่งอันดับ 1 ของตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเป็นการทำรายการซื้อขายปกติ นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์ มีการซื้อขายเป็นปกติ ไม่มีสัญญาณน่าเป็นห่วง ส่วนการบังคับขายหุ้นในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ มีปริมาณน้อยมากไม่ถึง 0.10% ของมูลค่าการซื้อขายของวานนี้ที่มากกว่า 1 แสนล้านบาท ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า ความเคลื่อนไหวของส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ของบริษัทหลักทรัพย์ พบว่า บล.บัวหลวง มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจากวันที่ 1-12 ธ.ค. มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 5.22 % ในอันดับที่5 แต่ในวันที่ 15 ธ.ค. อยู่ที่ 9.92% ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของส่วนแบ่ง มีมูลค่าการซื้อขายรวม 18,469.41 ล้านบาท ส่งผลให้บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ตกลงมาอยู่ที่ 2 ที่ 9.48 % มูลค่ารวม 17,646.55 ล้านบาท อันดับ 3 บล.กสิกรไทย แมคควอรี่ 7.47% มูลค่ารวม 13,904.83 ล้านบาท อันดับ 4 บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) 6.05 % มูลค่า 11,258.24 ล้านบาท อันดับ 5 บล.ภัทร อยู่ที่ 4.64 % มูลค่า 8,635.17 ล้านบาท ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในวันที่ 15 ธ.ค. อยู่ที่ 102,662.94 ล้านบาท โดยมีการส่งคำสั่งผ่านบริษัทหลักทรัพย์ทั้งการซื้อและขายรวมกัน ถึง 186,159.01 ล้านบาท Tags : ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ • สมาคมโบรกเกอร์ • ตลาดหุ้น • พอร์ตโบรกเกอร์