ศูนย์วิเคราะห์ทีเอ็มบี สำรวจพบรอบทศวรรษที่ผ่านมา เงินฝากของรายย่อย เพิ่มขึ้นไม่ทันการขยายตัวของหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) มองยุทธศาสตร์สนับสนุนการออมของประเทศเป็นสิ่งจำเป็นหลังสัญญาณการออมในรอบทศวรรษที่ผ่านมาส่อปัญหา เงินฝากของรายย่อยเพิ่มขึ้นไม่ทันการขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย แม้ทางเลือกในการออมของคนไทยจะมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน แต่การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ก็ยังเป็นทางเลือกอันดับแรกของหลายคน เพราะนอกจากจะสามารถใช้บริการได้ง่ายแล้ว ยังมีความปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินฝากที่มียอดไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่ได้รับการคุ้มครองแน่นอน ทำให้การออมของประชาชนจึงยังอยู่ที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ฝากเงินรายย่อย ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา (เปรียบเทียบข้อมูล มี.ค. 2547 กับ มี.ค. 2557) พบว่าการฝากเงินของรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อบัญชี ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 98% ของจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมด มีอัตราการเพิ่มของยอดเงินฝากโดยเฉลี่ยเพียง 5.7% ต่อปี ต่ำกว่าการขยายตัวของรายได้ต่อหัวของคนไทยที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6.5% ต่อปี และที่แย่ไปกว่านั้นคือ อัตราการขยายตัวของเงินฝากรายย่อยนั้นต่ำกว่าการก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มถึง 13.7% ต่อปี เมื่อศึกษาพฤติกรรมการออมของคนไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยแบ่งช่วงบัญชีเงินฝากตามขนาดของบัญชี พบว่า อัตราการเติบโตของยอดเงินในบัญชีมักจะเพิ่มตามขนาดของบัญชี อาทิ กลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาท มีการขยายตัวของยอดเงินฝากรวมที่อัตรา 4.5% ต่อปี ต่ำกว่ากลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดระหว่าง 5 แสนบาทถึง 1 ล้านบาท ที่มีการขยายตัวถึง 6.3% ทำให้สามารถตีความได้ว่า ผู้ที่มีกำลังการออมสูงกว่า หรือ อีกนัยหนึ่งมีคือมีรายได้ที่จะออมมากกว่า จะมีความสามารถ “ให้เงินทำงาน” ได้มากกว่า แต่ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงก็สามารถเพิ่มเงินออมได้ถ้ามีความตั้งใจจริง โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิต แถมยังอาจทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างคือ ควรเลิก “จน เครียด กินเหล้า” เพราะจากตัวเลขการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2554 ชี้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบมีสัดส่วนประมาณ 1% ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน ซึ่งหากสามารถละเลิกการใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้ เงินออมก็งอกเงย 1% ของรายจ่ายต่อเดือนเช่นกัน ส่วนค่าใช้จ่ายในการเล่นหวยและการพนันมีสัดส่วนประมาณ 1% ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน ดังนั้น ถ้าเลิกเหล้าและการพนันได้ เงินออมก็จะงอกเงยร่วม 2% และ ยิ่งหากลดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารที่มีโครงสร้างประมาณ 3% ของรายจ่ายรายเดือนลงได้หนึ่งในสาม ก็หมายถึงเราจะมีเงินออมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3% ได้อย่างสบาย ความสำเร็จในการออมจึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน จากผลสำรวจเดียวกันนี้ ยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยจะมีสัดส่วนหนี้ที่นำมาใช้ในการบริโภคอุปโภคต่อหนี้สินทั้งหมด ในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท จะมีสัดส่วนของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึง 51% เทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพียง 36% สถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นภาวะออมน้อยกู้มาบริโภคหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลไปยังศักยภาพในการชำระหนี้ รวมไปถึงปัญหาทางการเงินของประชาชนในกลุ่มดังกล่าวด้วย Tags : ทีเอ็มบี • เศรษฐกิจ • หนี้ครัวเรือน