Rand Fishkin ผู้ก่อตั้ง SparkToro เผยแพร่ผลการศึกษาจากข้อมูลของ SimilarWeb ในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2020 พบว่า 64.82% หรือเกือบ 2 ใน 3 ของการเสิร์ชกูเกิล (รวมเดสก์ท็อปและมือถือ) จบลงที่หน้าผลลัพธ์การค้นหาในเว็บกูเกิล และไม่มีการคลิกลิงก์ใด ๆ ต่อ ซึ่ง Fishkin เรียกสถานการณ์นี้ว่า Zero-Click สาเหตุนั้นอาจมาจากหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่มีผลก็คือตัวผลการค้นหาของกูเกิลเอง ซึ่งแสดงข้อมูลเบื้องต้นพื้นฐานไว้พอสมควรด้วยเช่นกัน จึงไม่จำเป็นต้องคลิกลิงก์ต่อ มีข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ หากดู Zero-Click เฉพาะบนมือถือ ตัวเลขสูงถึง 77.22%, การคลิกลิงก์โฆษณาอยู่ที่ 1.59% อย่างไรก็ตาม กูเกิลได้เขียนบล็อกอธิบายประเด็นดังกล่าว โดยบอกว่าผลการศึกษานี้พยายามชี้นำอย่างไม่ถูกต้อง กูเกิลอธิบายสถานการณ์หลายรูปแบบที่ทำให้เกิด Zero-Click จนส่งผลให้จำนวน Zero-Click สูง อาทิ มีการเปลี่ยนคำค้นหาไปเรื่อย ๆ หลายครั้ง จนกว่าจะเห็นผลลัพธ์เว็บที่ตรงใจ จึงเริ่มกดลิงก์ เป็นการค้นเพื่อต้องการข้อมูลสั้น รวดเร็ว อาทิ สภาพอากาศ ผลการแข่งขันกีฬา ซึ่งกูเกิลแสดงข้อมูลในหน้าผลการค้นหาเลย เป็นการค้นหาธุรกิจร้านค้า ซึ่ง Google My Business จะแสดงข้อมูลร้านนั้น รวมทั้งเบอร์โทรติดต่อ หลายคนก็ติดต่อร้านค้าจากข้อมูลนั้น และไม่มีการคลิกลิงก์ ลิงก์นั้นเปิดไปที่แอปบนมือถือเลย โดยไม่มีการเข้าเว็บไซต์ เช่น ลิงก์คอนเทนต์บน Netflix, Instagram เป็นต้น กูเกิลยืนยันว่ายังคงมีทราฟิกที่ถูกส่งต่อจากกูเกิลไปยังเว็บไซต์จำนวนมหาศาลทุกวัน และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี และกูเกิลก็ยังปรับปรุงให้เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ 10 อันดับแรกในผลการค้นหา มีโอกาสถูกค้นพบง่ายขึ้นอีกด้วย ที่มา: SparkToro ผ่าน Business Insider และ กูเกิล Topics: Google SearchGoogleSearch Engine