"กันกุล" เตรียมทุ่มงบ 1.5 หมื่นล้านบาท ลงทุน 3 ปี ดันกำลังผลิตรวมแตะ 350 เมกะวัตต์ เพิ่มสัดส่วนกำไรจากพลังงานทดแทนเป็น 60-70% ในปี 2560 ส่วนปีหน้าตั้งเป้ารายได้โต 30-50% จากส่วนแบ่งโครงการโซลาร์ภาครัฐที่ค้างท่ออยู่ประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ รับโครงการ "วินด์ เอ็นเนอร์ยี่" น่าสนใจเข้าลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ตั้งงบลงทุน 3 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2558-2560 จำนวน 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 300-350 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 160 เมกะวัตต์ นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากเงินหมุนเวียนของบริษัทประมาณ 5,000 ล้านบาท และอีก 10,000 ล้านบาท จะมาจากเงินกู้สถาบันการเงิน โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน 0.8 เท่า ทำให้มีศักยภาพในการกู้ได้อีก 3 เท่า "เงินลงทุนดังกล่าว จะใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 โครงการ กำลังการผลิตโครงการละ 60 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท โดยคาดว่าแต่ละโครงการจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ปี 2559 ตามลำดับ" นางสาวโศภชา กล่าว ส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะใช้ในการลงทุนพลังงานโซลาร์ ทั้งในส่วนโครงการของบริษัทและรับก่อสร้างให้กับบริษัทอื่น ขณะที่โครงการพลังงานลมอีก 50 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้หลังจาก 2 โครงการแรกเสร็จเรียบร้อย ในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนคิดเป็น 50% ของรายได้รวม และมีสัดส่วนกำไรสุทธิคิดเป็น 60-70% ของกำไรสุทธิทั้งหมด สำหรับผลประกอบการตั้งแต่ปีหน้าจะมีกำไรปีละ 240-260 ล้านบาท จากโครงการโซลาร์ และจะมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนนี้จะช่วยให้บริษัทมีผลประกอบการมั่นคงยิ่งขึ้น นางสาวโศภชา กล่าวต่อว่า บริษัทคาดรายได้ในปีหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากจะมีการรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าครบ 160 เมกะวัตต์เต็มปี ขณะที่รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากสินค้าใหม่ประเภทหลอดไฟ LED รวมถึงระบบสายส่งในวิศวกรรมไฟฟ้า และที่สำคัญบริษัทจะได้ประโยชน์จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของภาครัฐซึ่งค้างท่ออยู่ประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ คาดภาครัฐจะอนุมัติได้ภายในเดือน มี.ค. 2558 และต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ธ.ค. 2558 "บริษัทคาดว่าจะมีได้ส่วนแบ่งจากโครงการค้างท่อของภาครัฐประมาณ 10% หรือ 90-100 เมกะวัตต์ และคาดจะมีรายได้จากการรับก่อสร้างให้กับผู้ที่ได้ใบอนุญาตรายอื่นๆ อีกประมาณ 100 เมกะวัตต์ ซึ่งหากงานรับก่อสร้างให้กับผู้ลงทุนรายอื่นๆ เป็นไปตามเป้า จะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้มากกว่า 30%" นางสาวโศภชา กล่าว นอกจากนี้ยังมีงานโครงการโซลาร์ชุมชน 800 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะมีการอนุมัติจากภาครัฐในช่วงกลางปี 2558 หลังจากที่การอนุมัติโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ค้างท่ออยู่เสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งบริษัทจะเข้าร่วมทั้งการเป็นผู้ผลิตและรับเหมาก่อสร้าง โดยคาดหวังว่าจะได้รับส่วนแบ่งประมาณ 10-15% ขณะที่ความสนใจที่จะเข้าซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH หลังผู้ถือหุ้นมีปัญหาเกี่ยวกับคดีความ ซึ่งหากผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องการจะขายหุ้นออกมา บริษัทก็พร้อมขอเข้าไปมีส่วนร่วม เนื่องจากเป็นโครงการที่มีศักยภาพ "เชื่อว่าผู้ถือหุ้นที่มีปัญหาในขณะนี้จะต้องปล่อยหุ้นออกมาเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเรามีความสนใจในโครงการนี้เพราะตัวโครงการไม่ได้มีปัญหา เนื่องจากโครงการมีศักยภาพในการทำกำไรและเหมาะกับการเข้าลงทุน โดยโครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตราว 300 เมกะวัตต์ และบริษัทสนใจอยากเข้าไปถือหุ้นบางส่วน ซึ่งต้องขึ้นอยู่ว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะขายออกมาเท่าไหร่และเมื่อใด" นางสาวโศภชา กล่าว Tags : กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง • ผลิตไฟฟ้า • ภาครัฐ • ผู้ถือหุ้น