ตลาดร่นชำระราคา'ทีบวก2'

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 3 ธันวาคม 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    ตลาดหลักทรัพย์ เดินหน้าศึกษาปรับระบบชำระราคาเป็นทีบวก 2 ตามตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว หนุนวงรอบการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น

    ในปี 2558 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะศึกษาระบบการชำระราคาให้มีความรวดเร็วขึ้น เพราะทิศทางของตลาดหุ้นในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการปรับระบบการชำระราคาให้สั้นลง อย่างในสหรัฐเดิมเป็นทีบวก 5 ปรับลดลงมาเป็นทีบวก 3 และในสิงคโปร์ ก็มีแผนปรับระบบเป็นทีบวก 2 ในปี 2559

    นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในส่วนของไทยจะปรับลดเป็นทีบวก 2 จากเดิมทีบวก 3 ตามทิศทางของตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยนักลงทุนในประเทศสามารถทำได้ทันที จากการชำระเงินในรูปแบบตัดบัญชี หรือ เอทีเอส แต่นักลงทุนต่างชาติ อาจมีปัญหาเรื่องเวลาของแต่ละพื้นที่ไม่ตรงกัน

    "การชำระราคาเร็วขึ้น จะส่งผลดีให้นักลงทุนได้รับเงินเร็วขึ้น วงรอบในการซื้อขายหุ้นจะมีมากขึ้นไปด้วย" นางเกศรา กล่าว

    ส่วนสิ่งที่ต้องพิจารณา กรณีการชำระราคาที่รวดเร็ว ส่งผลให้ระบบหลังบ้านต้องทำงานหนักมากขึ้น อีกทั้งตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับบุคคลหลายกลุ่มในตลาดทุน ทั้งนักลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนต่างชาติ จึงต้องศึกษาให้รอบครอบ ปัจจุบันการชำระในหลายตลาดมีความรวดเร็วขึ้น อย่างในตลาดตราสารหนี้ทีบวก 1 หรือในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าเป็นทีบวก 2

    นางเกศรา ยังกล่าวถึงการแผนปีหน้าว่า ตลาดหลักทรัพย์มีเป้าหมายจะเป็น ดิจิทัล เอ็กเชนจ์ โดยจะปรับระบบต่างๆ ให้รองรับการทำงานผ่านดิจิทัล 100% ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น และพัฒนาสินค้าใหม่ให้มีความหลากหลาย โดยทำงานร่วมกับสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อผลักดันให้มีการอนุญาตซื้อขายด้วยเงินสกุลอื่น อาทิ สกุลดอลลาร์ ในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และขยายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น

    นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ ยังคาดหวังให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากปัจจุบัน 4.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตั้งเป้า 1.9 แสนสัญญาต่อวัน จากปัจจุบัน 1.4 แสนสัญญาต่อวัน

    ส่วนการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนใหม่ ตั้งเป้ามีมาร์เก็ตแคปไอพีโอที่ 2.5 แสนล้านบาท จากที่ต้นปีนี้ถึงเดือนพ.ย.อยู่ที่ 318,953 ล้านบาท โดยจะนำกลุ่มธุรกิจ เกษตรและอาหาร พลังงาน ท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมไปถึงบริษัทในเครือรัฐวิสาหกิจ เข้าจดทะเบียนมากขึ้น

    นอกจากนี้ ก.ล.ต. จะออกกฎเกณฑ์ให้บริษัทต่างประเทศ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ในไตรมาสแรกปีหน้า ส่วนมูลค่าการระดมทุนของหลักทรัพย์ที่ทำการจดทะเบียนคาดจะอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ 148,532 ล้านบาท ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนใช้เครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ทางการเงิน

    นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ ต้องการผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนไทยเข้าสู่การจัดอันดับ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ 10 บริษัท เพื่อยกระดับคุณภาพ และจะจัดทำดัชนีที่ชี้วัดการพัฒนาคุณภาพ และการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดหุ้นไทย เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนขนาดกลางสามารถประเมินคุณภาพของบริษัทได้

    ส่วนการขยายฐานนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ตั้งเป้าเพิ่มนักลงทุนหน้าใหม่อีก 9.5 หมื่นราย จาก 9 เดือนที่ผ่านมา มีนักลงทุนเพิ่มขึ้น 8.2 หมื่นราย โดยตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ใช้เพียงแค่ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของนักลงทุนเป็นเป้าหมายการดำเนินงาน แต่ใช้คุณภาพของนักลงทุนให้สามารถใช้ตลาดทุนได้อย่างเหมาะสม ทั้งผ่านการลงทุนด้วยตัวเอง และการลงทุนผ่านกองทุนรวม

    นางเกศรา กล่าวว่า เป้าหมายของตลาดหุ้นไทยปี 2563 ตลาดหลักทรัพย์ต้องการมีบทบาทในตลาดสากลมากขึ้น โดยตั้งเป้ามูลค่าการซื้อขายต่อวัน 1 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 5.6 หมื่นล้านบาท มาร์เก็ตแคปเพิ่มเป็น 30 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 15 ล้านล้านบาท และมีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ 4.5 แสนสัญญาต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 3.1 แสนสัญญาต่อวัน

    สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยปีหน้า มองว่า มีทิศทางที่ดีจากภาพเศรษฐกิจไทย ที่มีแนวโน้มดีกว่าปีนี้ จากการลงทุนของภาครัฐบาล และการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง

    ส่วนปัจจัยเสี่ยงของตลาดหุ้นไทย จากการสอบถามนักลงทุนต่างชาติ ยังกังวลเรื่องเสถียรภาพการเมืองไทยว่า รัฐบาลจะทำตามคำมั่นสัญญาที่จะบริหารประเทศภายใน 1 ปี และทำให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นได้หรือไม่ หากทำได้ตามกำหนดการดังกล่าว จะช่วยให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาให้ความเชื่อมั่นอีกครั้ง

    ด้านนายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้จะมีบริษัทเข้าระดมทุน 47 หลักทรัพย์ มูลค่าระดมทุน 1.2 แสนล้านบาท และคาดมีมาร์เก็ตแคปไอพีโออยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท สาเหตุที่มีจำนวนบริษัทระดมทุนได้มากขึ้น เพราะภาวะตลาดหุ้นปรับตัวดี และระยะเวลาจากวันยื่นไฟลิ่ง ถึงวันที่เข้าทำจดทะเบียนสั้นขึ้น โดยใช้เวลา 102 วันเท่านั้น

    ส่วนปี 2558 จะมีบริษัทเข้าทำการจดทะเบียนต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจในภูมิภาคที่เถ้าแก่ให้ความสนใจตลาดหุ้นมากขึ้น โดยมีบริษัทที่ยื่นไฟลิ่งแล้วมากกว่า 30 บริษัท ส่วนการนำบริษัทหลักทรัพย์จากต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนโดยตรง ยังไม่เห็นในปีหน้า เพราะก.ล.ต. พึ่งประกาศใช้เกณฑ์ดังกล่าวไตรมาสแรกปีหน้า จึงต้องใช้เวลาพูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงิน และประชาสัมพันธ์ อาจจะได้เห็นในรูปแบบของการยื่นไฟลิ่ง ส่วนบริษัทที่จะเข้ามาในรูปแบบของโฮลดิ้ง คอมปานี คาดยังเข้ามาต่อเนื่อง

    Tags : เกศรา มัญชุศรี • ตลาดหุ้น • ทีบวก2 • ชนิตร ชาญชัยณรงค์

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้