แบงก์ชาติ ชงคลังปรับเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล หวังพัฒนาไปทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างปรับปรุงหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้การกำกับสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นสถาบันการเงิน (นอนแบงก์) เพื่อพัฒนาไปสู่การทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชนในระดับรากหญ้า(นาโนไฟแนนซ์) ได้ ซึ่งล่าสุด ธปท. ได้ส่งหลักเกณฑ์ปรับปรุงใหม่เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว สำหรับนิยามเดิมของ สินเชื่อส่วนบุคคล นั้น ได้กำหนดว่า เป็นสินเชื่อเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค แต่ไม่สามารถนำไปใช้ประกอบธุรกิจการค้าได้ ดังนั้นการปรับปรุงกฎเกณฑ์เหล่านี้ จึงใช้วิธีการแก้คำนิยามในเรื่องดังกล่าวใหม่ โดยเพิ่มข้อความว่า สินเชื่อส่วนบุคคลดังกล่าว นอกจากปล่อยเพื่อการบริโภคอุปโภคแล้ว ยังครอบคลุมไปถึงการให้สินเชื่อสำหรับการค้าและธุรกิจด้วย “เกณฑ์การบังคับใช้ที่เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลเดิมใช้มาแล้ว 6-7 ปี แต่อันนี้เป็นการแก้เกณฑ์เดิมจากข้อบังคับที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากแนวคิดของรองนายกรัฐมนตรี ที่อยากให้การปล่อยกู้นาโนไฟแนนซ์เป็นเรื่องเป็นราวและมีระบบมากขึ้น โดยให้ทุนจดทะเบียนสูงขึ้นกว่าเดิม และเป็นบริษัทที่แบงก์ชาติสามารถกำกับดูแลได้" นายประสารกล่าว ส่วนการกำหนดกรอบการให้สินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีความแตกต่างกัน ระหว่างเกณฑ์เดิมของสินเชื่อบุคคลที่กำหนดไว้ไม่เกิน 2 แสนบาท และโครงการนาโนไฟแนนซ์ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อรายนั้น เชื่อว่า ไม่ใช่ปัญหา เนื่องจาก เพดานเดิมกำหนดไม่ให้ปล่อยกู้เกิน 2 แสนบาท ซึ่งในหลักการ แบงก์ก็สามารถปล่อยกู้ได้ต่ำกว่าเพดานที่กำหนดได้อยู่แล้วตามเกณฑ์ที่เหมาะสม การแก้เกณฑ์ดังกล่าว ก็ไม่ได้หมายความว่า แนวคิดการตั้งโครงการนาโนไฟแนนซ์เดิมของกระทรวงการคลังจะต้องหยุดไป แล้วให้ใช้เกณฑ์ใหม่ของธปท.แทน เพราะธปท.ไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น เนื่องจากอำนาจการพิจารณาต่างๆ ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคลัง และรองนายกรัฐมนตรี แต่การแก้เกณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลดังกล่าว เป็นเพียงการแก้โจทย์แบบหนึ่ง เหมือนที่ธปท.กำลังทำให้สหกรณ์ออมทรัพย์เข้ามาอยู่ในศูนย์ข้อมูลเครดิตบูโร ส่วนจะมีการแก้เกณฑ์เรื่อง การคิดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะตามเกณฑ์เดิมของสินเชื่อส่วนบุคคลคือ คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 28 % แต่นาโนไฟแนนซ์สามารถคิดดอกเบี้ยได้สูงถึง 36 % เรื่องนี้ไม่อยากให้พุ่งประเด็นไปที่ดอกเบี้ย ซึ่งไม่อยากให้ไปจำกัดเพดานว่าควรจะเป็นอัตราใด เนื่องจากหากไปแก้เพดานไว้สูงถึง 36 % ก็อาจส่งผลให้การคิดดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลขึ้นไปเต็มเพดานที่ 36 % ทั้งหมด ซึ่งตามหลักการความจริงคือไม่ควรมีเพดาน หากลูกหนี้ดี ก็คิดดอกเบี้ยน้อย ลูกหนี้เสี่ยงก็คิดสูง Tags : ประสาร ไตรรัตน์วรกุล • ธปท. • สินเชื่อบุคคล • นาโนไฟแนนซ์