ผลวิจัยตลาดหลักทรัพย์ระบุต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 1.8 แสนล้านบาท แต่ระยะยาวยังเชื่อมั่น ผลวิจัยตลาดหลักทรัพย์ระบุต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 1.8 แสนล้านบาท แต่ระยะยาวยังเชื่อมั่น เผยสัดส่วนมูลค่าถือของระยะยาวกว่า 80% คิดเป็นมูลค่า 4.15 ล้านล้านบาท หรือ 34.5% ของมูลค่าตลาดรวม ด้าน ‘ซีแอลเอสเอ’ มองตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง เหตุเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและการลงทุนระยะสั้นของต่างชาติยังไม่กลับมา คาดไตรมาส 4 ปีนี้ถึง ไตรมาส 2 ปีหน้าเติบโตต่อเนื่อง นางสาวสุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์ นักวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยผลวิจัยหัวข้อ “ความน่าสนใจของบริษัทจดทะเบียนไทยในสายตานักลงทุนต่างประเทศ” ว่าในช่วงตั้งแต่พ.ค.2556 ถึงเม.ย.2557 พบว่านักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิมูลค่า 1.8 แสนล้านบาท เนื่องจากผลกระทบทางการเมืองตั้งแต่กลางปี 2556 ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัว โดยการขายในครั้งนี้อยู่ในส่วนการลงทุนประเภทระยะสั้น ขณะที่การลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย ยังมีความเชื่อมั่น ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าสัดส่วนมูลค่าการถือครองมูลค่าหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ณ เดือน เม.ย. ปีนี้ อยู่ที่ 4.15 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น34.5% ของมูลค่าตลาดรวม เทียบจากปีก่อนอยู่ที่ 4.66 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 35.9% ของมูลค่าตลาดรวม โดยสัดส่วนการถือครองหุ้นแบบพันธมิตรระยะยาวคิดเป็นสัดส่วนถึง 80.13% ของการถือครองทั้งหมด ส่วนการถือครองผ่านเอ็นวีดีอาร์อยู่ที่ 19.80% และเป็นการถือครองผ่านกระดานในประเทศเพียง 0.08% “จะเห็นว่ามูลค่าการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศลดลงจากปีก่อนกว่า 5 แสนล้านบาท แต่จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปเพียง 1.83 ล้านล้านบาท โดยสาเหตุที่ทำให้มูลค่าลดลงมากกว่าการขายสุทธินั้นเป็นเพราะราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง และเมื่อมองไปยังสัดส่วนการถือครองระยะยาวที่ 80.13% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 78.98% ดังนั้นจะแสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังคงเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย” นางสาวสุมิตรา กล่าว นางสาวสุมิตรา กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย และถือครองหุ้นในระยะยาวนั้นเป็นเพราะปัจจัยสำคัญในหลายๆ ด้าน อาทิ กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งเติบโต 21.05% ต่อปี ตั้งแต่ปี2551-2556 นอกจากนี้อัตรากำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน ก็ยังมีอัตราการเติบโตขึ้นจากปี 2551 ที่สำคัญ ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2557 พบว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งรวมทั้งส่วนต่างราคาหุ้นและเงินปันผล (TRI) เพิ่มขึ้นกว่า 247.4%นับตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2550 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียมาเลเซีย และสิงคโปร์ ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดีของไทยมีความหลากหลาย อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือกลุ่มบริการ ซึ่งความหลากหลายของกลุ่มอุตสาหกรรมทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีอุตสาหกรรมที่น่าสนใจเข้าลงทุนอยู่ตลอดเวลา แม้ในบางช่วงเวลาจะได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ อาทิ ความวุ่นวายทางการเมือง ภาวะท่องเที่ยวซบเซา หรือกำลังซื้อชะลอตัว “สำหรับราคาหุ้นไทยในเวลานี้มองว่ายังไม่แพงจนเกินไปอย่างแน่นอน แม้จะมีนักวิเคราะห์บางส่วนบอกว่าแพงไปแล้ว แต่หากมองไปในอนาคตจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ส่วนในปีนี้เชื่อมั่นว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว เพราะประเทศไทยประสบปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่ในขณะนี้รัฐบาลกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง ฉะนั้น ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ จนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า คาดว่าตลาดหุ้นจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายปริญญ์ กล่าว นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติพลาดโอกาสในการเข้าลงทุนที่สำคัญไปถึง 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ถัดมาคือช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐออกมาประกาศว่าจะตรึงดอกเบี้ยในราคาต่ำต่อไป และครั้งล่าสุดคือตลาดหุ้นปรับตัวลงจากการรัฐประหาร แต่สำหรับนักลงทุนที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทยจะเข้าไปซื้อในช่วงที่ปรับตัวลงมาได้ ฉะนั้น ในขณะนี้มองว่าจะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติควรจะเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นได้อีกครั้ง หลังจากพลาดโอกาสไปถึง 3 ครั้ง ซึ่งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติรอบนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการผลักดันดัชนีให้เติบโตต่อไปได้ Tags : ตลาดหลักทรัพย์ • นักลงทุนต่างชาติ • ปริญญ์ พานิชภักดิ์