"เอ็มเอสซีไอ" เผยการเมืองไม่กระทบน้ำหนักหุ้นไทย ชี้ไม่นำการเมืองมาประเมินดัชนี เน้นมาร์เก็ตแคป สภาพคล่อง และสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ นายเรเน่ เวียรแมน (RENE VEERMAN) กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ เอ็มเอสซีไอ (MSCI) เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ไม่มีผลต่อประเมินน้ำหนักบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.) ในการคำนวณดัชนีเอ็มเอสซีไอ เพราะในการประเมินบจ.ที่จะนำมาอยู่ในดัชนีเอ็มเอสซีไอนั้น จะพิจารณาใน 3 ส่วนหลักๆ คือ สภาพคล่อง มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) และสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ "เราไม่ได้เอาประเด็นทางการเมืองมาให้น้ำหนักในการพิจารณาการคำนวณดัชนี เกณฑ์การพิจารณาหุ้นที่จะนำมาคำนวณ เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในระดับสากล หลักๆ ต้องเป็นหุ้นที่ลงทุนได้ คือมีสภาพคล่อง ถึงแม้หุ้นบางตัวจะมีขนาดใหญ่ ผลตอบแทนสูง แต่มีเจ้าของถือหุ้นแค่ไม่กี่ราย ก็ไม่นับว่าเป็นหุ้นที่ลงทุนได้" เขากล่าวต่อว่า ปัจจุบันดัชนีเอ็มเอสซีไอ ถูกนำมาเป็นดัชนีอ้างอิงในการเข้าลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกอย่างแพร่หลาย หรือมีประมาณ 6-8 พันกองทุนทั่วโลก ซึ่งหากบจ.ไทยที่ต้องการถูกนำมาคำนวณในดัชนีเอ็มเอสซีไอ ก็ต้องทำให้กิจการมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือ มีมาร์เก็ตแคปที่ตรงตามเกณฑ์ และทำให้มีผลตอบแทนสูงขึ้น แม้การเมืองจะไม่ได้เป็นปัจจัยในการประเมินบจ.ไทย แต่ก็ต้องติดตามดูว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ในประเทศไทย เติบโตน้อยลง หรือติดลบ จะส่งผลต่อผลตอบแทนของบจ.หรือไม่และส่งผลอย่างไร ทั้งนี้ ในการประเมินครั้งล่าสุด ตลาดหุ้นไทยมีน้ำหนักในดัชนีเอ็มเอสซีเอ เอเชีย เอ็กซ์ เจแปน (MSCI AC ASIA EX JAPAN) อยู่ที่ 2.4% นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ภาพตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ อาจจะเห็นการทบทวนตัวเลขต่างๆ ในทางที่สูงขึ้น หลังจากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีมีแนวโน้มปรับลดลงจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ลดลง จากการเร่งดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ การเร่งผลักดันการใช้จ่ายจากทางภาครัฐ ทั้งการจ่ายเงินจำนำข้าวให้กับชาวนา และการทำงบประมาณปี 2558 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนกลับมา ซึ่งขณะนี้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติก็เริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่แล้ว อย่างไรก็ตามในการจัดทำงบประมาณปี 2558 นั้นจำนวน 2.6 ล้านล้านบาทนั้น อาจจะไม่เพียงต่อการบริหารให้เศรษฐกิจมีการเติบโต เพราะเศรษฐกิจซบเซามานาน "การเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่ที่ปรึกษาแต่ละคนก็มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจเป็นอย่างดี จากนี้ไปต้องดูว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อไหร่ ซึ่งยิ่งจัดตั้งเร็ว เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจ ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับมา แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีนักลงทุนต่างชาติบางส่วนขายออกเพราะรับไม่ได้กับการเมืองแบบนี้ แต่บางส่วนก็รับได้ และเข้ามาลงทุน เพื่อหาผลตอบแทน ซึ่งหากกลุ่มที่เข้ามาได้ผลตอบแทนดี กลุ่มที่ยังไม่เข้าก็คงจะกลับเข้ามา" นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ (26 พ.ค.-29 พ.ค.) โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.56-73 บาท โดยรวมอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน จากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable goods order) ประกอบกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ดังนั้น ค่าเงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทจึงอ่อนค่าลงบ้างเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ปัจจัยในประเทศไม่ได้มีผลสำคัญต่อค่าเงิน ตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้น แม้นักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น แต่ขนาดของการขายอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับวันแรกหลังเหตุการณ์ยึดอำนาจที่นักลงทุนต่างประเทศบางส่วนตกลง และเทขายเพื่อปิดความเสี่ยงไปก่อน คาดว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่อยู่ในช่วงรอดูความคืบหน้าของการปฏิรูปทางการเมืองและการเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สำหรับนักลงทุนในประเทศมีความเชื่อมั่นค่อนข้างดีและเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้น ช่วยให้ SET INDEX ปรับตัวกลับมาเท่าๆ กับระดับก่อนที่จะมีการประกาศยึดอำนาจ สำหรับระดับความเสี่ยงของการลงทุนในประเทศที่สะท้อนจากมุมมองของนักลงทุนต่างชาติผ่าน Credit Default Swap (CDS) อยู่ที่ 122 basis points ในวันที่ 28 พ.ค.2557 ปรับลดลงจากระดับ 133 basis points ณ วันที่ 22 พ.ค.2557กลับมาอยู่ใกล้เคียงกับช่วงกลางเดือนพ.ค. สะท้อนว่าปัจจัยการเมืองมีผลต่อนักลงทุนต่างชาติในช่วงสั้นๆ และปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติได้ผ่อนคลายความกังวลลงมาระดับหนึ่งแล้ว Tags : เอ็มเอสซีไอ • MSCI • การเมือง • ตลาดหุ้น