นายกรัฐมนตรี พอใจเยือน สปป.ลาว หารือเชื่อมโยงทางรถไฟทางคู่ เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่ม สนับสนุนเงินทุนสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5-6 ขณะบินเวียดนามต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาวในครั้งนี้ ว่า ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งไทยและลาวเป็นประเทศที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด มีความใกล้เคียงทั้งภาษาและวัฒนธรรม ทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องที่จะสานความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างกัน ทั้งนี้ เรื่องสำคัญที่ต้องเร่งผลักดันคือผลการพูดคุยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เป็นการต่อยอดจากการประชุมในเวทีต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแนวชายแดน เช่น เรื่องค่าผ่านแดน การสร้างถนนและเส้นทางต่าง ๆ โดยไทยจะสนับสนุนแหล่งทุนและเงินกู้ในการสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-ปากซัน) และพร้อมพิจารณาให้ความร่วมมือและศึกษาก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 6 (อุบล-แขวงสาละวัน) นอกจากนี้ จะเพิ่มมิติการค้าการลงทุน เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ที่มีแนวคิดจะเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มที่จังหวัดหนองคาย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ได้หารือกับลาวเรื่องการเชื่อมโยงทางรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ- หนองคาย และลาวจะสร้างต่อ โดยจีนสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้าง คาดว่าดำเนินการได้ในปีหน้า นอกจากนี้ไทยต้องการขยายตลาดทุนตลาดหลักทรัพย์ โดยให้ต่างประเทศตั้งบริษัทเงินทุนในไทย โดยไทยจะพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้หารือกับนักธุรกิจไทยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยนายกรัฐมนตรีกล่าว แสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสพบปะกับนักธุรกิจไทยในวันนี้ โดยนักธุรกิจเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ สปป.ลาว บนพื้นฐานของความร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ โดยสร้างความตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วมกัน และผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน ไทยพร้อมสนับสนุนการซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ตามเพดานเดิมที่ได้มีการตกลง และสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ผ่านไทยไปมาเลเซียและสิงคโปร์ ส่วนการส่งเสริมการลงทุน ได้เสนอให้ BOI ร่วมมือกับหน่วยงานส่งเสริมการลงทุน ปรับระเบียบของลาว เพื่อดึงดูดนักลงทุน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ไทยต้องการขยายการนำเข้าแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับเข้ามาทำงานในพื้นที่ตอนในของประเทศไทย ส่วนของแรงงานประเภทไปเช้า-กลับเย็นและตามฤดูกาลที่เข้ามาทำงานตามแนวชายแดน รัฐบาลต้องการปรับปรุงให้การเดินทางผ่านเข้า-ออกสะดวกยิ่งขึ้น รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะจัดทำบัตรผ่านแดนในลักษณะ Smart Card ซึ่งจะทำให้การเดินทางของทั้งสองฝ่ายสะดวกขึ้น เจ้าหน้าที่ สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว รองรับการเปิดตลาดการค้าและเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำแก่ภาคเอกชนไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะ จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานวัดไต โดยเครื่องบินพิเศษ RTAF 211 เพื่อเดินทางไปกรุงฮานอย ในโอกาสเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ