"ก้องเกียรติ"ห่วงหุ้นไทยเข้าภาวะเสี่ยงสูง หุ้นเก็งกำไรมาก บอร์ดตลาดมั่นใจมาตรการคุมหุ้นร้อนไม่กระทบการลงทุน คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะมีการประชุมร่วมกัน ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ซึ่งการประชุมในรอบนี้ มีวาระเรื่องการพิจารณา มาตรการควบคุมหุ้นร้อนแรงเข้ามาหารือด้วย นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะมีหุ้นที่เก็งกำไรมากเกินไป โดยเฉพาะในหุ้นที่มีพื้นฐานไม่ดี ผลประกอบการแย่ แต่ราคาหุ้นปรับตัวสูงมากกว่าปกติ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่สภาวะเสี่ยงมากขึ้น "ตอนนี้เราจะเห็นว่าหุ้นพื้นฐานไม่ดี ราคาวิ่งหมด ทั้งที่ผลประกอบการบริษัทไม่ได้ดีตามราคาหุ้นที่ปรับขึ้น ชัดเจนว่าตลาดหุ้นไทยมีการเก็งกำไรกันมากเกินไป เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยง" นายก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นในหลายประเทศที่มีการเก็งกำไรสูง อย่างตลาดหุ้นเวียดนาม หรือ ตลาดหุ้น อินโดนีเซีย ที่มีการเก็งกำไรสูงก่อนที่จะตลาดจะปรับตัวร่วงลงมาส่งผลให้ตลาดหุ้นซบเซาไปหลายปี ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีลักษณะเดียวกัน แต่ยังมีข้อดีที่ยังมีหุ้นพื้นฐานดีราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่งส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยค้ำตลาดไม่ให้ปรับลดลงได้ ส่วนนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ในฐานะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โดยมาตรการที่ออกมา ยืนยัน จะไม่เป็นลักษณะการเหวี่ยงแห หรือทำลายบรรยากาศการลงทุน แต่เป็นลักษณะทำให้นักลงทุนมีเวลาตัดสินใจรับข้อมูลข่าวสารมากกว่า “มาตรการทุกอย่างที่ออกมา เราจะต้องให้ยาที่ตรงกับโรค ต้องไม่ทำให้คนอื่นที่ไม่มีปัญหา มามีปัญหาไปด้วย จึงอยากให้นักลงทุนสบายใจในส่วนนี้ โดยมาตรการที่ออกมาจะไม่เป็นลักษณะการสกัดกั้น หรือเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุน แต่จะเป็นลักษณะการเพิ่มความหนืดเพื่อให้นักลงทุนมีเวลาในการตัดสินใจ” นางภัทธีรา กล่าว สำหรับกฎเกณฑ์เรื่องบัญชีซื้อขายด้วยเงินสด (แคชบาลานซ์) นั้น เนื่องจากกฎเกณฑ์นี้ตลาดหลักทรัพย์ได้นำมาใช้นานมากแล้ว จึงอาจมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ในบางเรื่องเพิ่มเติม เพื่อให้เหมาะกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะระยะข้างหน้าซึ่งจะมีหุ้นขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นมากขึ้นด้วย “ท่ามกลางที่ตลาดหลักทรัพย์กำลังมีหุ้นเอสเอ็มอีเข้ามามากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนหุ้นน้อย การเข้ามาซื้อขายที่รุนแรงอาจทำให้ราคาปรับเปลี่ยนไปเร็วขึ้น ดังนั้นเกณฑ์แคชบาลานซ์คงต้องมาดูกันว่า จะปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง เช่นหุ้นที่เข้าเทิร์นโอเวอร์ลิสท์ (หุ้นที่มีอัตราการหมุนเวียนสูง) อาจต้องให้วอแรนท์ (ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ) ของหุ้นนั้นเข้าเกณฑ์ดังกล่าวด้วย” นางภัทธีรากล่าว สำหรับเรื่องการขยายเวลาหุ้นที่เข้าเกณฑ์แคชบาลานซ์นั้น คงเป็นหนึ่งในเรื่องที่จะมีการพิจารณากันด้วย เพียงแต่การขยายเวลาอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เนื่องจากหุ้นที่เข้าเกณฑ์แคชบาลานซ์ แต่หากมีนักลงทุนที่ต้องการซื้อขายและมีเงินสดจำนวนมาก นักลงทุนเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจเกณฑ์ดังกล่าวมากนัก เพราะเขาก็ยังซื้อขายอยู่ดี จึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ ส่วนเรื่องการควบคุมวงเงินในการซื้อขายหุ้นร้อนแรงนั้น นางภัทธีรา กล่าวว่า เรื่องนี้สมาคมโบรกเกอร์ได้ประกาศใช้เป็นการภายในของสมาคมฯ แล้ว โดยใช้เป็นตัวอ้างอิงในการให้วงเงินซื้อขายสำหรับโบรกเกอร์ด้วยกันเอง “เรานำมาใช้เพื่อให้สมาชิกใช้เป็นไกด์ไลน์ โดยจะไม่ให้วงเงินซื้อขายที่มากเกินไปสำหรับหุ้นร้อนแรง เพราะเกรงว่าหากหุ้นวิ่งเกินพื้นฐานไปมาก เวลาปรับตัวลงมักจะลงมาอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่าลูกโป่งแตก ก็อาจจะเกิดความเสี่ยงต่อการชำระราคา คงต้องมีการปรับวงเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม” นางภัทธีรา กล่าว สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามาตรการอาจจะไม่รุนแรงนัก เพราะอาจมีผลกระทบต่อรายได้ของโบรกเกอร์นั้น นางภัทธีรา กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องแยกเป็นสองประเด็น คือ เรื่องการสร้างรายได้ก็ยังต้องทำกันไป แต่เรื่องการบริหารความเสี่ยงก็ถือว่าสำคัญมาก ซึ่งเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับตัวลูกค้าด้วย เพราะตัวลูกค้าหากเกิดความเสียหายขึ้นก็จะมีผลกระทบมาถึงตัวโบรกเกอร์เองด้วย “เราอยากให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ อยู่กับเราไปนานๆ เพราะถ้าลูกค้าได้รับความเสียหาย ก็จะมีผลมาถึงตัวบริษัทด้วย โดยเฉพาะการปล่อยมาร์จิน (เงินกู้เพื่อซื้อหุ้น) ในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเรื่องแบบนี้เราเห็นประสบการณ์จากต่างประเทศมามากแล้ว จึงไม่อยากให้เกิดในประเทศไทย” นางภัทธีรา กล่าว นอกจากนี้ นางภัทธีรา ยังกล่าวถึงกรณีที่ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีนได้เชื่อมโยงระบบการซื้อขายเข้าด้วยกันว่า เป็นเรื่องที่ควรต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด เพราะคงมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหุ้นฮ่องกงและจีนอยู่ในภูมิภาคเอเชียเช่นเดียวกับไทย หากมีตลาดหุ้นไหนที่ดูน่าสนใจกว่า ก็จะดึงดูดความสนใจจากตลาดหุ้นไทยไปได้เช่นกัน นางภัทธีรา กล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้ตลาดหุ้นไทยต้องกลับมานั่งทบทวนว่า จะทำอย่างไรจึงดึงดูดความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง โดยเฉพาะเวลานี้ซึ่งประเทศไทยอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง ขณะที่เศรษฐกิจก็ค่อนข้างชะลอตัว “การเปิดการเชื่อมโยงระหว่างตลาดหุ้นฮ่องกงกับจีน ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้สะดวกขึ้น เขาจึงดึงความน่าสนใจไปจากเราบ้าง ยิ่งถ้าเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ความน่าสนใจตรงนี้ก็จะยิ่งมีมากขึ้นด้วย” นางภัทธีรากล่าว Tags : ก้องเกียรติ โอภาสวงการ • ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ • ตลาดหุ้น • มาตรการคุมหุ้นร้อน