นักลงทุนขานรับทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ คสช. ดันดัชนีหุ้นไทยปิดบวก 10.06 จุด ขณะที่แรงขายต่างชาติเริ่มลดเหลือ 2.7 พันล้านบาท ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (28 พ.ค.) พบว่า ดัชนีอยู่ในแดนบวกได้ตลอดทั้งวัน ตอบรับข่าวการตั้ง ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ข่าวดังกล่าวส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มสื่อสาร ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นแบบยกแผง สำหรับการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย มีระดับสูงสุดของวันที่ 1,409.73 จุด ก่อนจะปิดตลาดที่ 1,402.79 จุด เพิ่มขึ้น 10.06 จุด คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.72% มูลค่าการซื้อขายรวม 42,634.56 ล้านบาท อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติ ยังขายสุทธิจำนวน 2,770.4 ล้านบาท นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า การปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทย เป็นผลจากข่าวการจัดตั้งทีมที่ปรึกษาของ คสช. ซึ่งทั้งหมดเป็นบุคคลที่นักลงทุนให้ความเชื่อมั่น และมองว่าจะช่วยให้ภาพเศรษฐกิจในระยะต่อไปดูดีขึ้น อีกตลาดหุ้นไทยถูกขายมาต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ สำหรับที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของ คสช. ประกอบด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ “ตลาดหุ้นไทยถูกเทขายมาต่อเนื่อง จากความไม่เชื่อมั่นของสถานการณ์การเมือง หากพิจารณาแล้ว ระดับดัชนีปัจจุบันมีความน่าสนใจในการลงทุน ปันผลยังดีอยู่ ทำให้เกิดแรงซื้อหุ้น” ส่วนการเทขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาตินั้น มองว่า จำนวนที่ขายออกมาเริ่มเบาบางลง โดยนักลงทุนต่างชาติไม่อยากขายหุ้นไทยมากนัก แต่อาจติดกฎเกณฑ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจึงจำเป็นต้องขายหุ้นออกมา เขากล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามในระยะต่อไป คือนโยบายของ คสช. มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ โดยในนักลงทุนระยะสั้นยังสามารถลงทุนแบบลงซื้อขึ้นขายได้ ส่วนนักลงทุนระยะกลาง และระยะยาว ให้นักลงทุนรอซื้อหุ้นในระดับดัชนี 1,385 จุด น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัท เรทติ้ง แอนด์ อินเวสท์เม้นท์ อินฟอร์เมชั่น จำกัด หรือ อาร์แอนด์ไอ ได้แถลงยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยสกุลเงินต่างประเทศ และสกุลเงินบาท ที่ระดับ BBB+ และ A- ตามลำดับ แต่ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากระดับที่มีเสถียรภาพเป็นลบ การปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย ส่วนหนึ่งเพราะ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา กองทัพไทยได้เข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศที่ตกอยู่ในวิกฤตทางการเมืองตั้งแต่เดือนพ.ย.2556 โดยการเคลื่อนไหวในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อยและปฏิรูปการเมืองภายใต้การปกครองของกองทัพ อย่างไรก็ดี ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทางที่กองทัพคาดการณ์หรือไม่ หากการจัดการด้านการคลังและเศรษฐกิจยังไม่เป็นไปตามปกติและการปฏิรูปการเมืองไม่มีความคืบหน้า เศรษฐกิจไทยจะยังคงหยุดชะงักต่อไป รวมถึงรากฐานทางเศรษฐกิจอาจอ่อนแอลงในระยะกลางถึงยาวได้ อาร์แอนด์ไอ จำเป็นต้องจับตามองพัฒนาการในด้านต่างๆ และปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือเป็นลบ กองทัพได้ระงับใช้รัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวและจัดตั้ง คสช. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่ง คสช. แถลงว่า จะเข้ามาดูแลกระบวนการอนุญาตการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการดำเนินงานด้านงบประมาณที่ได้ล่าช้าไป รวมถึงการจัดทำงบประมาณประจำปี 2558 ด้วย หากความสงบเรียบร้อยกลับคืนมาและการบริหารจัดการฟื้นตัว เศรษฐกิจอาจได้รับผลเชิงบวกเนื่องจากวิกฤตทางการเมืองมีน้ำหนักต่อเศรษฐกิจ ตามที่อ้างอิงจากกองทัพ การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีการดำเนินการปฏิรูปทางการเมือง และต่อมาในที่สุดประเทศจะกลับคืนสู่การปกครองของประชาชน อย่างไรก็ดี เบื้องหลังของวิกฤตทางการเมือง ได้แก่ ความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกระหว่างผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านนายทักษิณ ชินวัตร ที่มีรากฐานมาจากความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้ระหว่างพื้นที่เมืองกับชนบท บนระบอบประชาธิปไตยแบบอุดมคติที่รวมถึงระบบการเลือกตั้ง ซึ่ง อาร์แอนด์ไอ เห็นว่า การแก้ไขปัญหาพื้นฐานและจัดตั้งระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพนั้นไม่ง่าย อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมผู้ผลิตที่เบื้องต้นประกอบด้วยบริษัทอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งเติบโตจากการลงทุนโดยตรงในมุมมองของ อาร์แอนด์ไอ เห็นว่า ความกังวลที่อาจจะเกิดความถดถอยของโครงสร้างการเจริญเติบโตของภาคการผลิตมีเพียงเล็กน้อย มอร์แกน สแตนเลย์ ธนาคารชั้นนำของโลกสัญชาติสหรัฐ ประกาศปรับลดคาดการณ์จีดีพีของไทยปีนี้ลงเหลือ 0% หรือไม่เติบโตเลย จากเดิมให้ไว้ 3% ส่วนปีหน้าปรับลดการขยายตัวเหลือ 3% จากเดิมที่ระดับ 4% ในรายละเอียด มอร์แกน สแตนเลย์ ระบุว่า การปรับลดคาดการณ์เป็นผลมาจากเศรษฐกิจยิ่งชะลอตัวมากขึ้น และการฟื้นตัวเป็นไปอย่างอ่อนแอ ภาวะขาลงเกิดขึ้นอย่างน่าแปลกใจในไตรมาสแรกปีนี้ ส่งผลต่อการเติบโตลดลง ขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อเร็วๆ นี้ ได้เพิ่มแรงกดดันส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเทศ พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง Tags : ตลาดหุ้น • ทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ • คสช.