กลุ่มซีแอลเอ็มวีเร่งระดมทุน

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 11 พฤศจิกายน 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    ทวินไพน์ที่ปรึกษาการการเงิน คาดปีหน้าดึงกลุ่มซีแอลเอ็มวีระดมทุน 1.2 หมื่นล้านบาท หนุนไทยเป็นศูนย์กลางอาเซีย

    นายอดิศร สิงห์สัจจะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวินไพน์ คอนซัลติ้ง จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการวางแผนการระดมทุน เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทคาดว่ารัฐบาลหรือบริษัทเอกชนในกลุ่มซีแอลเอ็มวี โดยเฉพาะพม่า ลาว และกัมพูชา จะเข้ามาระดมทุนในไทยโดยการออกหุ้นกู้สกุลเงินบาท มูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท

    “ปัจจุบันบริษัทเจรจากับผู้ที่ต้องการระดมทุนผ่านการออกบอนด์ 5-6 ดีล ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้งรัฐบาลและบริษัทเอกชน และมีนอกอาเซียน 1 ประเทศ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ขณะนี้ ทั้งนี้ คาดว่าปีหน้าจะมี 3 ดีลที่สามารถระดมทุนได้สำเร็จ โดยประเทศหลักๆ ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชา ประเมินมูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท” นายอดิศร กล่าว

    หลังจากที่รัฐบาลลาวออกพันธบัตรก่อนหน้านี้ไป 3 ครั้ง มูลค่ารวม 9,500 ล้านบาท คาดว่าปีหน้ารัฐบาลลาวจะระดมทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินบาทอีกครั้ง ซึ่งน่าจะมีมูลค่าระดมทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังน้ำ และใช้ชำระคืนหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ออกมาครั้งแรก ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคม 2559

    ในขณะที่ประเทศพม่าและกัมพูชา เบื้องต้นทั้ง 2 ประเทศมีเป้าหมายว่าจะระดมทุนให้ได้ภายในปี 2561 แต่บริษัทคาดว่าน่าจะระดมทุนได้ก่อนหน้าที่กำหนดไว้ โดยประเมินว่ากัมพูชาจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปี 2558 และออกขายพันธบัตรได้ในปี 2559 ทั้งนี้อาจจะเป็นการระดมทุนแบบทดลอง คือ มีวงเงินไม่สูงมากแต่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท และมีอายุสัญญา 3 ปีเพียงระยะเดียว

    ปัจจุบันพม่ายังไม่มีการจัดอันดับเรทติ้งของประเทศ ส่วนกัมพูชาได้รับการจัดอันดับแล้วอยู่ที่ระดับB แต่ยังไม่ใช่เรทติ้งสำหรับการลงทุน โดยทั้ง 2 ประเทศจะนำเงินไประดมทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ในส่วนของบริษัทเอกชนของพม่าและกัมพูชา หากมีการระดมทุนผ่านพันธบัตรเกิดขึ้น อาจจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 7-8% เนื่องจากบริษัทเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตและต้องการเงินลงทุนเป็นอย่างมาก

    “ในอนาคตประเทศไทยจะกลายเป็นแหล่งระดมทุนของประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่เหมาะสมที่สุด เพราะมีความพร้อมด้านแหล่งเงินทุน และระเบียบกฎเกณฑ์ที่ได้ปรับปรุงใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องเร่งพัฒนากฎระเบียบอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อเอื้ออำนวยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาความสามารถในด้านนี้ได้โดยเร็ว อาทิ กฎหมายด้านภาษี กฎหมายเกี่ยวกับผู้ขอระดมทุนจากต่างประเทศ โดยส่วนตัวมองว่าการสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับประเทศเพื่อนบ้านจะช่วยให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากไม่เร่งดำเนินการในด้านนี้ยังมีประเทศอื่นที่ต้องการจะเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนด้านเงินทุนในภูมิภาค โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ซึ่งมีแหล่งเงินทุนพร้อมที่จะเข้ามาสนับสนุน” นายอดิศร กล่าว

    ด้านบริษัท ผลิตไฟฟ้าลาว อีดีแอล-เจเนอเรชัน พับลิค คอมพานี จำกัด (มหาชน) หรือ EDL-GEN คาดว่าจะสามารถระดมทุนผ่านพันธบัตรสกุลเงินบาทในต้นเดือน ธ.ค. นี้ มูลค่าการระดมทุน 6,500 ล้านบาท กำหนดอายุพันธบัตรเป็น 3 ช่วงอายุ ระหว่าง 5-10 ปี คาดว่าผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่กว่า 5% โดยเทียบจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปี อยู่ที่ 2.6% บวกเพิ่มอีก 2% เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุน ซึ่งผู้จัดการการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)

    ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) และหลังจากนั้นจะยื่นไฟลิ่งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป สำหรับการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเป็น 2,435 เมกะวัตต์ ในปี 2563 จากปัจจุบันอยู่ที่ 881 เมกะวัตต์ เทียบกับกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศอยู่ที่ 3,245 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 14,547 เมกะวัตต์ในปี 2563

    Tags : อดิศร สิงห์สัจจะ • ทวินไพน์ คอนซัลติ้ง • อาเซียน

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้