ราคาทองคำดิ่งต่ำสุดรอบ 4 ปี "ฮั่วเซ่งเฮง" มั่นใจไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ สวนทางทองรูปพรรณซื้อขายคึกคัก ราคาทองปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี ที่ระดับ 1,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากธนาคารกลางประเทศญี่ปุ่น ได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบเพิ่มเติม ทำให้ค่าเงินของสหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินญี่ปุ่น สูงสุดในรอบ 7 ปี นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำในระยะสั้น ผันผวนและปรับตัวลดลง หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่นอัดฉีดเงินเข้าระบบ ซึ่งผลดังกล่าวทำให้ราคาทองคำจะถูกกดดันต่อเนื่องไปอีก โดยหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,180 ดอลลาร์ ทำให้เกิดแรงขายออกมาแรงกว่าปกติ สำหรับทิศทางของราคาทองคำหลังจากนี้ นายธนรัชต์ มองว่า ยังเป็นขาลง แต่มองว่าจุดต่ำสุดของราคาทองคำจะไม่ลงไปมากกว่า 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนหน้าเหมืองทองคำ "ผลดังกล่าว ทำให้ทองคำสินทรัพย์ที่ใช้ในการชดเชยเงินเฟ้อลดลง โดยสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาคือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และการว่างงานสหรัฐ ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะมีประกาศออกมาในสัปดาห์หน้า" นายธนรัชต์ กล่าวด้วยว่า การลงทุนในทองคำระยะนี้ยังสามารถลงทุนได้อยู่ โดยยังไม่ถึงขั้นที่ต้องหลีกเลี่ยงการลงทุน สำหรับการซื้อขายทองคำรูปพรรณหน้าร้านค้าทองคำ หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเติม ทำให้การซื้อขายทองรูปพรรณเป็นไปอย่างคึกคักในทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. ถึงปัจจุบัน และจะมีทิศทางที่คึกคักเช่นนี้ต่อเนื่อง โดยส่วนของร้านค้าทองคำได้มีการเติมสินค้าเพื่อจำหน่ายให้กับนักลงทุนและผู้ที่ต้องการซื้อทองคำรูปพรรณ และจะไม่มีปัญหาทองคำขาดตลาด ด้านนายโสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GBX เปิดเผยถึง แนวโน้มราคาทองคำในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าว่า ราคาทองคำยังคงได้รับแรงกดดัน จากกรณีเฟดจะมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลให้เกิด Reverse Dollar Carry Trade (นำเงินไปคืนเงินกู้) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นพวกนักลงทุนที่กู้เงินดอลลาร์มาลงทุนจะเริ่มทยอยนำเงินไปชำระคืนเงินกู้ ดังนั้นจึงทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าได้ในระยะกลางนี้ จึงทำให้ราคาทองคำถูกกดดัน และอยู่ในแนวโน้มขาลงต่อไป ประกอบกับทางกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกยังลดการถือครองทองคำลงต่ำสุดในรอบปีสู่ระดับ 745 ตันลดลง จากต้นปี 49 ตันยังเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำเพิ่มเติม ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มมีการฟื้นตัวมากขึ้นจากยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร โดยในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากยอดจ้างงานในเดือนสิงหาคม อีกทั้งอัตราว่างงานปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่ 5.9% คอยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าเพิ่มเติม ในปลายเดือนตุลาคม "ราคาทองคำ ได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจ ทั้งจากฝั่งยุโรป และสหรัฐ ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจของยุโรป เริ่มมีการชะลอตัวจากดัชนีภาคการผลิตที่เริ่มปรับตัวลง แตะระดับ 50.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน อีกทั้ง GDP ก็ขยายตัวลดลงในไตรมาส 2 ปีนี้ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 15 เดือน กดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง และกดดันราคาทองคำ แต่ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์กับแข็งค่าขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับตัวดี" นายโสฬส กล่าว นายโสฬส กล่าวต่อว่า การลงทุนในทองคำ ช่วงปลายปีนี้ แนะนำให้ทยอยซื้อสะสม เพื่อลงทุนยาว โดยหลังจากข่าวเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เริ่มลดลง คาดว่าราคาทองคำ จะดีดตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงครึ่งปีหลัง 2558 ดังนั้น จึงแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไร สำหรับนักลงทุนที่ถือครองทองคำอยู่ ส่วนนักลงทุนที่สนใจลงทุนระยะสั้น ยังเน้นไปที่สถานะขายเป็นหลัก เพราะในภาพระยะกลาง-ยาว ทองคำยังถูกกดดันจากเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จากนี้ไปจนถึงปลายปีมองกรอบราคาทองคำที่ 1,108 -1,300 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ Tags : ธนรัชต์ พสวงศ์ • ทองคำ • ทองรูปพรรณ • ฮั่วเซ่งเฮง