โนมูระ พัฒนสิน ท้าชิงโบรกเกอร์อันดับ 1 ใน 5 ปี พร้อมให้บริการทุกรูปแบบ เดินหน้าขยายฐานลูกค้า 1 แสนบัญชี หลังจากวิกฤตการเมืองคลี่คลาย ทำให้มูลค่าการซื้อขายต่อวันของตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทหลักทรัพย์(บล.) โนมูระพัฒนสิน จำกัด (มหาชน) โดย "สุเทพ พีตกานนท์" ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร ให้สัมภาษณ์พิเศษ กับ "กรุงเทพธุรกิจ" มองว่า ธุรกิจโบรกเกอร์ในปีนี้ ไม่ดีเท่ากับ 2556 แม้มูลค่าซื้อขายในระยะหลังจะอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท เพราะมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่ยังมีมุมมองที่ดีเชื่อว่าในปีหน้าการฟื้นตัวของมูลค่าการซื้อขายจะปรับตัวดีอีกครั้ง "ธุรกิจหลักทรัพย์ส่วนใหญ่พึ่งพามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ แม้ในปีนี้จะปรับตัวลดลงหากเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ผมมองว่า ถ้ารัฐบาลมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ส่งผลต่อกำไรบจ.ดี จะทำให้ตลาดหุ้นคึกคัก มูลค่าการซื้อขายต่อวันจะปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์ก็จะดีไปด้วย" นายสุเทพกล่าว บล.โนมูระ พัฒนสิน มีเป้าหมายที่จะขึ้นอันดับ 1 ของโบรกเกอร์ประเทศไทยใน 5 ปีข้างหน้า ในเวลานั้น บล.โนมูระต้องเป็นโบรกเกอร์ที่ให้บริการครบวงจร ทั้งนายหน้าค้าหลักทรัพย์ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ นายหน้าตลาดอนุพันธ์ ธุรกิจยืมหุ้น(SBL) ธุรกิจซื้อขายพันธบัตร ตราสารทางการเงินทุกชนิด รวมถึงบริการขายกองทุน สุเทพ มองว่า โนมูระต้องเร่งพัฒนา 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือธุรกิจหลักด้านการเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมามีสัดส่วนรายได้ 80 % โดยมีโครงสร้างรายได้ 75 %เป็นลูกค้ารายบุคคล อีก 25 % สถาบันในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายที่จะโบรกเกอร์ที่ให้บริการกับลูกค้าขนาดกลาง และลูกค้ารายบุคคลเป็นหลัก ซึ่งมียอดการซื้อขายอย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ที่ 41.5 % บริษัทมีเป้าหมายต้องการมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) 3.5 % จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.7 % และบัญชีลูกค้า 8 หมื่นบัญชีเพิ่มเป็น 1 แสนบัญชีภายในปีหน้า โดยใช้กลยุทธ์ การขยายสาขา จากปัจจุบัน 23 สาขา ให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น ลักษณะการขยายสาขาจะเน้นระบบอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ซึ่งจะเน้นเปิดบัญชีขยายฐาน และทำธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก จะเน้นการขยายลูกค้าในระดับกลางและระดับล่าง เมื่อลูกค้าจะเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทวางแผนสร้างบุคลากรให้สอดรับ จากปัจจุบันที่มีเจ้าหน้าที่การตลาด 300 คน โดยบริษัทจะใช้วิธีสร้างบุคลากรด้วยตัวเอง โดยรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่พัฒนาให้มีศักยภาพ นอกจากนี้ยังต้องวางระบบคอมพิวเตอร์ให้ทันสมัย ซึ่งบล.ได้พัฒนาระบบต่อเนื่อง โดยใช้งบลงทุน ปีละกว่า 10-20 ล้านบาท พร้อมที่จะรองรับการซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น ปัจจุบันโนมูระได้พัฒนาระบบการขายกองทุนรวม โดยนำตัวอย่างจากญี่ปุ่น ที่หลังจากเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ธุรกิจที่จะได้รับผลดีด้วยคือ การซื้อขายกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่ให้สนใจ เพราะมีรายได้น้อย ทั้งที่ในระบบเงินฝากไทยมีมูลค่าสูงมาก ธุรกิจกองทุนเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ฝากเงิน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้บริษัทมีการซื้อขายกองทุนรวม 5,000 ล้านบาท มียอดการซื้อขายเป็นประจำที่ 38% ซึ่งจุดเด่นคือ บล.เป็นเพียงรายเดียวในปัจจุบันที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ทุกบลจ.ในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทขยายธุรกิจการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ มีมูลค่าพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 8 พันล้าน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 3 พันล้านบาท ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดที่เคยปล่อยสินเชื่อดังกล่าวและอยู่ในอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรม สุเทพยืนยันว่า แม้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์จะมีมูลค่าสูง แต่บล.ไม่มีความเสี่ยงเรื่องปัญหาการบังคับขายหุ้น(ฟอร์ซเซล) เนื่องจากมีระบบการจัดการความเสี่ยง คัดเลือกลูกค้าที่ดี ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาหนี้เสีย ซึ่งการกู้เงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ มีประโยชน์หากนักลงทุนมีความชำนาญ โดยความเสี่ยงของธุรกิจด้านนี้เมื่อเทียบกับอดีตมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะการกำหนดการวางเงินประกันความเสี่ยงตามคุณภาพของหลักทรัพย์ โดยปัจจุบันบล.มีการวางเงิน 4 อัตรา ได้แก่ การวางเงินหลักประกัน 50% อัตรา 60% อัตรา 70% และอัตรา 85% ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของหุ้น บริษัทมีเป้าหมายที่จะปล่อยสินเชื่อในบัญชีซื้อขายหุ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาทในสิ้นปีนี้ ซึ่งบริษัทมีทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท สามารถดำเนินธุรกิจด้านนี้ได้ โดยชูจุดเด่นนอกจากมีหุ้นให้เลือกถึง 200 หลักทรัพย์ยังมีการคิดดอกเบี้ยถูกคู่แข่งที่ 5.42% เมื่อเทียบกับรายอื่นประมาณ 7-8% บริษัทวางแผนจะกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นๆ เพราะเห็นว่าการพึ่งพิงกับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ มีความผันผวนตามทิศทางตลาดหุ้น จึงได้เพิ่มบริการธุรกิจตราสารหนี้ เพราะคู่แข่งไม่มาก โดยบริษัทเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มีการเติบโตน่าพอใจ โดยบริษัทจะทำ 2 ส่วน คือ ตลาดแรกทำเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นกู้ภาคเอกชน และตั๋วแลกเงิน ส่วนที่ 2 คือการเป็นตัวกลางในการซื้อขายตราสารหนี้ โดยในตลาดรองนั้น บริษัทมีมูลค่าการซื้อขาย 1.1 หมื่นล้านบาท มีส่วนแบ่งเป็นอันดับที่ 2 ของธุรกิจโบรกเกอร์ ส่วน ตั๋วบีอีมีมูลค่าการซื้อขาย 2 หมื่นล้านบาท อยู่อันดับที่ 3 ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ โดยเฉพาะไอพีโอยอมรับมีค่อนข้างน้อย เพราะบริษัทขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนน้อยลง มีแต่บริษัทขนาดเล็กที่เข้าจดทะเบียนคึกคัก แต่ผลตอบแทนการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินไม่คุ้มค่า บล.จึงหันไปเน้น ธุรกิจควบรวมกิจการเพราะเห็นโอกาสจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเทศรอบข้างมีการเติบโตที่ดี และไทยเป็นศูนย์กลางเออีซี ทำให้ 2-3 ปีต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในภูมิภาค Tags : สุเทพ พีตกานนท์ • บล.โนมูระ พัฒนสิน • โบรกเกอร์ • ขยายฐานผู้ลงทุน