รีวิว Civilization: Beyond Earth - เมื่อ Civilization V สวมชุดอวกาศ

หัวข้อกระทู้ ใน 'เทคโนโลยี' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 3 พฤศจิกายน 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    [​IMG]
    เกมตระกูล Civilization ถือเป็นเกมวางแผนแนว turn-based (ผลัดกันเดิน) ที่ได้รับความนิยมสูงมากเกมหนึ่ง (และเชื่อว่าชาว Blognone จำนวนไม่น้อยก็เป็นแฟนเกมนี้) ล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ค่าย Firaxis ก็ออกเกมภาคหลักภาคใหม่อีกครั้ง ทิ้งห่างจากเกมภาคก่อนคือ Civilization V ที่ออกในปี 2010 ประมาณ 4 ปี

    เกมภาคใหม่ไม่นับชื่อภาคเป็นตัวเลข และแหวกขนบการสร้างอารยธรรมของมนุษย์ตามประวัติศาสตร์จริง มาเป็นการสร้างโลกต่างดาวในอนาคตแทน ทำให้เกมภาคนี้ถูกตั้งชื่อว่า Civilization: Beyond Earth

    [​IMG]

    ย้อนตำนาน Alpha Centauri


    ถึงแม้ Beyond Earth จะเป็น Civilization ภาคแรกที่เปลี่ยนฉากจากโลกมนุษย์มาเป็นดาวเคราะห์อื่นในอวกาศ แต่แฟนๆ ของเกมซีรีส์นี้น่าจะทราบกันดีว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเห็นเกมของ Sid Meier บุกไปนอกโลก เหตุเพราะค่าย Firaxis เคยทำเกม Sid Meier's Alpha Centauri มาก่อนแล้วในปี 1999

    ย้อนตำนานกันสักเล็กน้อย เกม Civilization สองภาคแรกถูกพัฒนาโดยสตูดิโอ MicroProse แต่หลังจากนั้นก็ประสบปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ของชื่อเกม จนทำให้ Sid Meier และทีมงานลาออกจาก MicroProse มาเปิดสตูดิโอใหม่ชื่อ Firaxis แทน

    ทีมงานยังอยากทำเกมวางแผนแบบ turn-based แต่สตูดิโอใหม่กลับไม่ได้สิทธิ์ใช้ชื่อ Civilization มาด้วย ทางออกจึงเป็นการสร้างเกมแบบเดียวกันแต่ใช้ชื่ออื่นแทน ผลลัพธ์ออกมาเป็นเกม Alpha Centauri ที่ฉีกแนวทางเดิม เปลี่ยนเนื้อเรื่องเป็นโลกยุคที่มนุษย์ออกไปบุกเบิกอวกาศ และค้นพบดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดาวฤกษ์ Alpha Centauri ที่เหมาะสมกับการตั้งรกรากในที่สุด

    หน้าตาของ Alpha Centauri (ภาพจาก Civilization Official Wikia)

    [​IMG]

    ถึงแม้ไม่มีชื่อ Civilization แปะมาด้วย แต่ Sid Meier's Alpha Centauri ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ โดยได้คะแนนรีวิวจากนิตยสาร PC Gamer ไปถึง 98% มากที่สุดเท่าที่เคยให้มา (เป็นแชมป์ร่วมกับ Half-Life 2 และ Crysis ภาคแรก)

    เส้นทางของเกม Civization หลังจากนั้นคือบริษัทของเล่น Hasbro ซื้อกิจการ Firaxis และชื่อเกม Civilization กลับมารวมกัน ทำให้ค่าย Firaxis กลับมาได้ทำเกม Civilization ภาคต่ออย่างเป็นทางการตั้งแต่ภาค III, IV, V และล่าสุดคือ Beyond Earth

    Beyond Earth สู่อวกาศ


    เนื้อเรื่องของ Beyond Earth ถูกผูกไว้หลวมๆ คือมนุษยชาติบนโลกกำลังจะล่มสลายจากเหตุการณ์หายนะที่เรียกว่า "The Great Mistake" (ไม่บอกว่าคืออะไร) ทำให้ต้องคัดเลือกคนเพื่อเดินทางสู่อวกาศ ดวงดาวที่มนุษย์เดินทางไปถึงไม่มีชื่อเรียกตายตัวแบบใน Alpha Centauri (สุ่มชื่อดาวไปเรื่อยๆ) เมื่อเดินทางถึงเป้าหมายแล้ว มนุษย์แต่ละกลุ่มก็แยกย้ายกันไปตั้งรกรากบนทวีปต่างๆ ของดาวดวงนี้



    Beyond Earth ทิ้งระบบ "ชาติ" แบบดั้งเดิมใน Civilization และเปลี่ยนเป็นระบบ "เผ่า" ที่เป็นการรวมเชื้อชาติแบบหลวมๆ แทน เช่น Pan-Asian Cooperative รวมชาติเอเชียตะวันออก, Franco-Iberia ชาติพันธุ์สเปน-ฝรั่งเศส, Slavic Federation ชาวสลาฟในรัสเซียและยุโรปตะวันออก โดยมีให้เลือกทั้งหมด 8 เผ่า

    ความแตกต่างของแต่ละเผ่ามีแค่โบนัสพิเศษที่แตกต่างกันไปตอนต้นเกม อย่างไรก็ตาม ใน Beyond Earth ก่อนที่ผู้เล่นจะ "แลนดิ้ง" ลงสู่ดาวเคราะห์เพื่อเริ่มเกม ก็สามารถปรับแต่งวิธีการเริ่มเกมที่ต้องการได้ เช่น เริ่มเกมโดยมีนักสร้างอาณานิคม หรือ เริ่มเกมโดยมียูนิตทหาร ตรงนี้จะแตกต่างจาก Civilization ภาคหลักเล็กน้อยเพราะโบนัสเหล่านี้จะผูกกับชาติแต่ละชาติอย่างตายตัว

    ซ้าย: ผู้นำเผ่าอเมริกาเหนือ American Reclamation Corporation, ขวา: ผู้นำเผ่าออสเตรเลียและหมู่เกาะแปซิฟิก Polystralia (ประเทศไทยอยู่ในเผ่านี้)

    [​IMG]

    แนวคิดเรื่องเผ่าของ Beyond Earth จะคล้ายกับ Alpha Centauri ที่ไม่เรียกชาติในความหมายดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม การออกแบบเผ่าของ Beyond Earth กลับไม่ค่อยโดดเด่นและไม่น่าจดจำมากนักเมื่อเทียบกับ Alpha Centauri ที่แต่ละเผ่ามีแนวทางเฉพาะของตัวเองมากๆ (เช่น เน้นศาสนา, เน้นการค้า, เน้นสงคราม, เน้นสิ่งแวดล้อม)

    Civilization V ในร่างใหม่


    เมื่อเราแลนดิ้งลงสู่ผิวดาวเคราะห์แล้ว จะเป็นการตั้งเมืองหลวงแห่งแรก รูปแบบของเกมจะเหมือนกับ Civ V แทบทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตารางแบบ 6 เหลี่ยม (ที่ใช้มาตั้งแต่ภาค V) การสร้างยูนิตหรือสิ่งปลูกสร้าง การสำรวจ การจัดสรรทรัพยากร ฯลฯ จนพอจะเรียกได้ว่าเป็นการนำ Civ V มาใส่สกินเป็นชาวอวกาศด้วยซ้ำ (เอนจินเกมก็ย่อมเป็นเอนจินเดิม)

    [​IMG]

    เมื่อรูปแบบการเล่นเกมแทบเหมือนเดิมทั้งหมด ผู้ที่เล่น Civ V มาแล้วคงปรับตัวได้ไม่ยากนัก สิ่งที่ลำบากหน่อยคงเป็นแค่การเรียนรู้ชื่อยูนิต ชื่อสิ่งปลูกสร้าง ชื่อทรัพยากรแบบใหม่ๆ ที่มาแทนของเก่า และใช้ชื่อแบบไซไฟพิสดารที่ไม่สามารถเดาได้ง่ายๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่

    [​IMG]

    การใช้ระบบของ Civ V ถือว่ามีข้อดีตรงที่ผู้เล่นหน้าเก่าสามารถทำความคุ้นเคยได้ง่าย มันยังถือเป็นระบบที่ลงตัวและลองผิดลองถูกมาเยอะแล้ว มีความสมดุลสูง แต่จุดอ่อนคืออาจขาดความแปลกใหม่ในระดับที่สมเป็น "เกมภาคหลักภาคใหม่" อยู่บ้าง ซึ่งทีมงาน Firaxis ก็พยายามปรับเปลี่ยนระบบเกมบางจุดให้ต่างไปจากของเดิมในบางประเด็น (แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก)

    โลกของเอเลี่ยน


    อย่างแรกสุดที่ผู้เล่น Beyond Earth จะได้พบคือสภาพแวดล้อมของโลกต่างดาวนั้นโหดร้ายกว่าบนโลกมาก มีพื้นที่ภูเขาหรือแผ่นดินแยกอยู่หลายจุด จะหาที่ราบใหญ่ๆ แบบ Civilization ภาคปกติได้ยาก นอกจากนี้โลกต่างดาวยังมีพื้นที่เป็นพิษ (miasma) ที่เดินเหยียบแล้วพลังลด และ "เอเลี่ยน" สัตว์ประหลาดต่างดาวที่โผล่มาตลอดเกม ตรงนี้ต่างไปจากเผ่า "คนเถื่อน" (Barbarian) ในเกมภาคปกติที่จะมายุ่งกับเราในช่วงแรกๆ ของเกมเท่านั้น

    ภาพตัวอย่างเอเลี่ยนประเภทแมลง และพื้นที่ miasma ที่เห็นเป็นสีฟ้าในมุมซ้ายบน

    [​IMG]

    Beyond Earth ยังมีเอเลี่ยนตัวใหญ่อย่างหนอนยักษ์ Siege Worm (แน่นอนว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Dune) ที่โผล่มาตอนแรกๆ ตบทีเดียวเราตาย

    [​IMG]

    ด้วยภูมิศาสตร์ของโลกต่างดาวที่แตกต่างไปจากโลกมนุษย์ ทำให้การเล่นเกม Beyond Earth นั้นผู้เล่นต้องแบ่งเวลามาจัดการกับเอเลี่ยนและพื้นที่เป็นพิษมากกว่าเดิม ส่งผลให้รูปแบบการเล่นต่างไปจากเดิมบ้างเล็กน้อย

    Affinities และ Tech Web


    ของใหม่อีกอย่างใน Beyond Earth คือระบบความเชื่อที่เรียกว่า Affinities (คล้ายกับ Ideology ใน Civ V) โดยระบบนี้จะคอยกำกับเป้าหมายของเราในระยะยาว เพราะมีผลต่อวิธีการจบเกม

    เนื้อเรื่องใน Beyond Earth จะกำหนดให้มนุษย์มีแนวทางการดำรงชีวิต 3 แบบคือ

    • Harmony อยู่ร่วมกับเอเลี่ยนต่างดาวอย่างสงบสุข
    • Purity ยึดความเป็นมนุษย์โลกแบบดั้งเดิมไว้
    • Supremacy เน้นเทคโนโลยีและการรวมร่างกับหุ่นยนต์เพื่อพัฒนาเผ่าพันธุ์ตัวเอง

    เมื่อเกมค่อยๆ ดำเนินไป ผู้เล่นจะต้องเลือกว่าตัวเองสนใจมุ่งไปในทิศทางไหนผ่านการวิจัยเทคโนโลยีและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ซึ่งก็อาจสร้างความขัดแย้งกับเผ่าอื่นที่เลือก Affinities แตกต่างกันไปด้วย เช่น ถ้าเราเลือกสาย Supremacy ที่เน้นสร้างอาวุธมาถล่มเอเลี่ยน ก็จะโดนเผ่าที่เลือก Harmony ด่าเอาได้

    รายละเอียดเรื่อง Affinities อยู่ในคลิปช่วงนาทีที่ 4:07



    การเลือก Affinities จะมีผลต่อรูปแบบของสิ่งปลูกสร้างและยูนิตในเกม เช่น ถ้าเลือก Harmony ยูนิตของเราจะหน้าตาออกแนวชีวภาพ ในขณะที่แนวทาง Supremacy จะเป็นหุ่นยนต์และเครื่องจักร

    ระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน Beyond Earth คือยูนิตรบบางตัวจะสามารถอัพเกรดความสามารถได้เรื่อยๆ ตามคะแนน Affinities ที่เพิ่มขึ้น แถมการอัพเกรดจะเป็นไปอัตโนมัติกับยูนิตทุกตัวที่เรามีในครอบครอง ไม่ต้องมานั่งไล่อัพเกรดเพิ่มเองเหมือนเกมภาคปกติ จากภาพเป็นตัวอย่างยูนิต Soldier ของสาย Supremacy ที่อัพเกรดได้ 4 ครั้งจนไปถึง Affinities ระดับ 14

    [​IMG]

    วิธีการเก็บค่า Affinities โดยหลักแล้วมาจากการวิจัย ซึ่งในเกม Beyond Earth ได้ปรับแผนผังเทคโนโลยีจากเดิม Tech Tree พัฒนาเทคโนโลยีสู่อนาคตจากซ้ายไปขวา กลายมาเป็น Tech Web ที่เลือกสายการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นวงกลมได้อย่างอิสระ ช่วยให้เกมดูหลากหลายมากขึ้น (และชวนงงมากขึ้นในตอนแรกๆ เพราะไม่รู้จะเลือกพัฒนาอะไรดี)

    [​IMG]

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Tech Web ถูกออกแบบมาให้ไม่สามารถวิจัยเทคโนโลยีได้ทุกประเภทในหนึ่งเกม บีบให้ผู้เล่นต้องคิดว่าจะเลือกพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไร โดยต้องคำนึงว่าจะสอดคล้องกับ Affinities ของตัวเองด้วย

    ดาวเทียม


    ของใหม่ซิงๆ ของเกมภาคนี้คือระบบดาวเทียมหรือ Orbital Unit ครับ มันเป็นการสร้างยูนิตพิเศษที่ยิงขึ้นฟ้าเพื่อให้ค่าโบนัสบางอย่างกับเรา เช่น เก็บพลังงานได้มากขึ้น เพิ่มอัตราการผลิตอาหาร ไล่เอเลี่ยนออกจากรัศมี หรือแม้กระทั่งโจมตีฝ่ายตรงข้าม

    Orbital Unit ต้องสร้างขึ้นเหมือนกับยูนิตทางบกตามปกติ แต่ไม่สามารถนำไปเดินไปมาได้ ต้องสั่งยิงขึ้นฟ้าเท่านั้น เมื่อเราสั่งยิงดาวเทียมแล้ว เกมจะแสดง "เลเยอร์" อีกระดับหนึ่งแยกจากเลเยอร์ทางบกปกติ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราจะวางตำแหน่งของดาวเทียมไว้อย่างไรบ้าง (ห้ามทับกัน) ถือเป็นความแปลกใหม่อีกประการหนึ่งของเกมภาคนี้

    [​IMG]

    Beyond Earth ยังมีระบบเก็บค่าวัฒนธรรมเช่นเดิม แต่ปรับรูปแบบของโบนัส (ที่เรียกว่า Virtues) เล็กน้อย โดยผู้เล่นสามารถเลือก Virtues สายใดก็ได้ และถ้าเรียงคะแนน Virtues ต่อกันในแนวตั้งหรือแนวนอน ก็จะได้โบนัสเพิ่มเติมอีกต่างหาก

    [​IMG]

    มุ่งสู่ชัยชนะ


    Beyond Earth มีวิธีเอาชนะเกมทั้งหมด 5 แบบ (ไม่รวมการเล่นจนครบ 500 เทิร์นแล้วมาคิดคะแนน) ได้แก่

    • Domination ปราบเมืองหลวงของคู่แข่งให้หมด เป็นวิธีเอาชนะแบบบ้าพลังตามปกติ
    • Contact เป็นวิธีการเอาชนะแบบมาตรฐาน ใช้ได้กับทุก Affinities คือค้นพบร่องรอยของเอเลี่ยนทรงภูมิปัญญาบนดาวดวงนี้ และหาวิธีติดต่อกับเอเลี่ยนโดยสร้างสิ่งมหัศจรรย์และสะสมพลังงานตามที่กำหนดก็จะจบเกมได้ (ชื่อ Contact มาจากภาพยนตร์เรื่อง Contact)
    • Transcendence วิธีชนะสำหรับสาย Harmony สร้างสิ่งมหัศจรรย์เพื่อหลอมรวมตัวเองเข้ากับดาวดวงนี้
    • Promised Land สำหรับสาย Purity สร้างประตูวาร์ปเพื่อนำคนจากโลกมาตั้งรกรากบนดาวดวงนี้
    • Emancipation สำหรับสาย Supremacy สร้างประตูวาร์ปแล้วส่งกองทหารตามจำนวนที่ระบุกลับไปยึดโลก

    [​IMG]

    ตัวอย่างประตูวาร์ปของสาย Supremacy

    [​IMG]

    หน้าจอชัยชนะ ยังมีปุ่ม One more turn เช่นเดิม

    [​IMG]

    สรุป


    Civilization: Beyond Earth เป็นเกมที่สนุกตามมาตรฐานค่าย Firaxis แต่โดยรวมแล้วมี "ความสดใหม่" น้อยไปสักนิดถ้าเรามองว่ามันเป็นเกมภาคหลักภาคใหม่ เพราะมันแทบจะยกเอนจินทั้งหมดของ Civ V มาเปลี่ยนหน้าตาให้เป็นยุคอวกาศ และปรับระบบการเล่นเกมบางส่วนไปเล็กน้อยเท่านั้น

    ดังนั้นถ้าหากมองว่ามันเป็นเกมภาคเสริมภาคใหม่ของ Civ V มันคงถือเป็นเกมที่ดีมาก แต่ในเมื่อต้นสังกัด Firaxis มองว่ามันเป็นเกมภาคใหม่ (แถมคิดราคาเต็ม) ความดีงามเฉพาะตัวของมันจึงลดลงไปอย่างน่าเสียดาย

    สำหรับแฟนๆ Civilization แล้ว Beyond Earth ถือว่าเล่นได้เพลินๆ แต่ต้องอาศัยเวลาเรียนรู้ชื่อสิ่งของต่างๆ ในเกมนานสักหน่อย ส่วนแฟนๆ Alpha Centauri ที่ประทับใจกับเกมเมื่อครั้งอดีตแล้วอยากเห็นภาคต่อที่สืบทอดแนวทางของเกมนี้มาอีกครั้ง ก็ต้องบอกเสียตั้งแต่ต้นว่าคุณจะผิดหวังกับ Beyond Earth เพราะมันให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงครับ

    Civilization, Games, Review
     

แบ่งปันหน้านี้