เอสซีจีกำไรไตรมาส3วูบ20%

หัวข้อกระทู้ ใน 'ข่าวสารการลงทุน' เริ่มโพสต์โดย iPokz, 30 ตุลาคม 2014.

  1. iPokz

    iPokz ~" iPokz "~ Staff Member

    เอสซีจี กำไรไตรมาส3 ลดลง 20% หลังความต้องการปูนซีเมนต์ลดลง 3% หวังไตรมาสสุดท้ายเริ่มฟื้น

    จากงบลงทุนภาครัฐ-เอกชน ดันกำไรไตรมาส4 ในสูงสุดรอบปี พร้อมเพิ่มเป้ายอดขายปีนี้แตะ 4.88 แสนล้านบาท ประเมินปี 2558 ตลาดปูนซีเมนต์โต 5% จากลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2557 บริษัทมีรายได้รวม 124,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับสูงขึ้น ส่วนรายได้จากการขายใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน

    ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2557 จำนวน 7,846 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทไม่มีกำไรการปรับมูลค่าเงินลงทุนเช่นเดียวกับไตรมาส 3/2556 ซึ่งมีการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และขายเงินลงทุนในบริษัทโตดต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ให้กับโตโต้ กรุ๊ป

    นอกจากนี้ ความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศไทยในไตรมาส 3/2557 ได้ปรับตัวลดลง 3% ส่งผลให้รายได้จากการขายและกำไรสุทธิของบริษัทลดลง

    ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 370,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิงวด 9 เดือน จำนวน 24,759 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่าการลงทุน

    รายได้ธุรกิจในอาเซียนเพิ่ม16%

    นายกานต์ กล่าวว่าธุรกิจของบริษัทในอาเซียนนอกเหนือประเทศไทยปรับตัวดีขึ้น โดย 9 เดือนแรกปีนี้มีรายได้จากกรขาย 32,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% และคิดเป็น 9% ของรายได้รวมของบริษัท ส่วนในไตรมาส 3/2557 มีรายได้จากการขาย 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากบริษัท วีนา คราฟท์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์มียอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุนในประเทศอาเซียน มีผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้งสิ้น

    ทั้งนี้ บริษัทมีสินทรัพย์ในอาเซียน ณ งวด 30 ก.ย. 2557 มูลค่า 79,235 ล้านบท คิดเป็น 17% ของสินทรัพย์รวม

    “ปีนี้ คาดว่ายอดขายรวมจะอยู่ที่ 4.88 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.86 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับการลงทุนภาครัฐว่าจะเริ่มอัดฉีดเงินเข้าระบบเมื่อไร และมากแค่ไหน รวมทั้งต้องติดตามอัตราแลกเปลี่ยนว่าจะอ่อนค่าต่อเนื่องหรือไม่ เพราะบริษัทมีการส่งออก หากค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 บาทโดยประมาณ ยอดขาย 4.88 แสนล้านบาทก็อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้”

    หวังงบภาครัฐกระตุ้นยอดขายไตรมาส4

    นายกานต์ กล่าวว่าแนวโน้มไตรมาส 4/2557 หากรัฐบาลเริ่มอัดฉีดเงินลงทุน ยอดขายและกำไรของบริษัทจะดีขึ้นเช่นกัน และมีความเป็นไปได้ว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4/2557 จะสูงกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา และจะเป็นไตรมาสที่มีกำไรสุทธิสูงสุดของปีนี้

    "คาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในปี 2558 ของประเทศไทยจะโตไม่ต่ำกว่า 5% จากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ประเมินว่าเม็ดเงินอัดฉีดสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจะเริ่มข้าสู่โครงการต่างๆ ตั้งแต่ไตรมาส 4/2557 แต่จะมีเม็ดเงินเข้าสู่โครงการมากที่สุดราวไตรมาส 2/2558 - 3/2558 นอกจากนี้ ยังมีส่วนของการลงทุนภาคเอกชนที่น่าจะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเช่นกัน"

    รับขาดทุนสต็อกน้ำมันไตรมาส4

    อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/2557 บริษัทจะมีขาดทุนจากสต็อกน้ำมันราว 500-700 ล้านบาท ซึ่งราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว ยอมรับว่าเหนือความคาดหมาย แต่จะได้ส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์เข้ามาช่วยเพิ่มอัตรากำไร นอกจากนี้ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังมีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่องไปถึงปี 2560

    ทั้งนี้ ในไตรมาส/2557 ราคาผลิตภัณฑ์โพลีเอทธิลีน อยู่ราว 690 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ไตรมาส 4 ปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 700 ดอลลาร์ต่อตัน และราคาผลิตภัณฑ์โพลีพร็อพโพรลีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 597 ดอลลาร์ต่อตันในไตรมาส 4/2556 เป็น 716 ดอลลาร์ต่อตันในไตรมาส 3/2557 ซึ่งคาดว่าในปี 2557 ราคาผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่เกือบ 800 ดอลลาร์ต่อตัน

    ตั้งงบลงทุน2.5แสนล้านเน้นอาเซียน

    สำหรับการลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน มี.ค. 2558 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดประมูลในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างคาดสรุปใน 1-2 เดือนนี้ โดยโครงการดังกล่าวมีมูลค่าเบื้องต้นที่ 4,500 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในปี 2560-2561

    สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนของบริษัทยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยคาดว่าโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซียและกัมพูชาแห่งที่ 2 จะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตได้ในปี 2558 ขณะที่ในปี 2559 จะขยายกิจการไปยังประเทศพม่า และลาว

    ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสินทรัพย์ในกลุ่มประเทศอาเซียน เกิน 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 17% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด โดยบริษัทได้ตั้งงบลงทุน 5 ปี (2558-2562) ที่ 2-2.5 แสนล้านบาท โดยจะเน้นการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน

    นักวิเคราะห์คาดผลประกอบการครึ่งปีหลังลดลง

    นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งหลังปี 2557 จะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากปริมาณขายปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่ลดลง รวมทั้งการตั้งสำรองผลขาดทุนสต็อกสินค้าของธุรกิจปิโตรเคมี ส่งผลให้ปรับลดประมาณการผลประกอบการทั้งปี 2557

    นักวิเคราะห์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการที่ลดลงจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงโลว์ซีซันของธุรกิจหลักของบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่ยังคงได้รับปัจจัยลบจากการชะลอของโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐและผลพวงของราคานาฟทา ที่เป็นแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะส่งผลให้เกิดผลขาดทุนของสต็อกปิโตรเคมีอีกครั้งในช่วงสิ้นปีนี้

    ดังนั้น จึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2557 ลง 21% จากเดิมเหลือ 3.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 12%จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว สะท้อนมุมมองเชิงลบข้างต้นที่มีต่อธุรกิจหลักของบริษัท

    คาดธุรกิจเริ่มฟื้นปีหน้าจากโครงการรัฐ

    อย่างไรก็ตามผลประกอบการปี 2558 มีแนวโน้มกลับมาเติบโต จากการเริ่มต้นประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานผลักดันปริมาณขายปูนซีเมนต์ในประเทศและส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ยืนในระดับสูงต่อเนื่องจากปี 2557

    สำหรับ การลงทุนภายในประเทศและในภูมิภาคอาเซียนผลักดันอัตราเติบโตของบริษัทในระยะยาว โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนระยะยาวในธุรกิจหลักๆ ของบริษัททั้งรูปแบบการควบรวมกิจการ (M&A) และสร้างโรงงานใหม่ โดยกำหนดงบลงทุนในรอบ 5 ปีข้างหน้า (ปี 2558-2562) ไว้ที่ 2-2.5 แสนล้านบาทหรือเฉลี่ย 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ใกล้เคียงกับงบประมาณที่ใช้ขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียนในช่วงที่ผ่านมาซึ่งการลงทุนเหล่านี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทโดยเฉพาะธุรกิจปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนที่จะเป็นปัจจัยผลักดันใน 3 ปีข้างหน้า ได้แก่ อินโดนีเซีย (กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี) และในกัมพูชา (กำลังการผลิต 9 แสนตันต่อปี) จะเริ่มต้นในปี 2558, เมียนมาร์ (กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี) ในปี 2559 และ ลาว (กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี) ในปี 2560

    กำลังการผลิตใน 4 ประเทศเทียบเท่า 26% ของกำลังการผลิตปัจจุบันโดยรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทและมีความเสี่ยงต่ำในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ ดังเช่น เมียนมาร์ และ กัมพูชา และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่มีช่องว่างเติบโตของปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ ดังเช่น อินโดนีเซีย

    อย่างไรก็ตาม แม้จะปรับลดประมาณการผลประกอบการ แต่ยังคงมีจุดเด่นในด้านการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียนช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทและแตกต่างกว่ารายใหญ่อื่นๆ ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่พึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นหลัก

    นอกจากนี้แนวโน้มของ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลักที่อยู่ในระดับสูงดังเช่นปัจจุบัน ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยูโรโซน จะเป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มเติบโตของผลประกอบการในปี 2558

    ราคาหุ้น SCC ปิดตลาดวานนี้ (29 ต.ค.) เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 0.46% อยู่ที่ 434 บาท มูลค่าการซื้อขาย 555.45 ล้านบาท

    Tags : กานต์ ตระกูลฮุน • ปูนซิเมนต์ไทย • SCC • เอสซีจี กรุ๊ป • กำไร • ไตรมาส3 • อาเซียน • กระตุ้นยอดขาย

    [​IMG]
     

แบ่งปันหน้านี้