นักวิเคราะห์คาดกำไรปูนซิเมนต์ไทยไตรมาส3วูบต่ำสุดรอบปี พร้อมหั่นเป้าหมายกำไรเอสซีจีลง 21% เหลือ 3.2 หมื่นลบ. นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ กล่าวว่า กำไรสุทธิบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ในไตรมาส 3/2557 จะเป็นจุดต่ำของปี ตามสภาวะการบริโภคในประเทศที่อ่อน อย่างไรก็ตาม การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จะช่วยให้ผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2557 ในปี 2558 เชื่อว่าทิศทางกำไรสุทธิของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้น 16.2% จากปีนี้ หรือมีกำไรสุทธิ 4.02 หมื่นล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศจากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ 2.5 ล้านล้านบาทในปีงบประมาณ 2558 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ของปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง การที่บริษัทมีสถานะที่เข้มแข็งจากการเป็นผู้นำในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และสายธุรกิจเยื่อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียน (Fibrous chain) ระดับภูมิภาค และอุปสงค์ที่ทรงตัวของเคมีภัณฑ์ รวมทั้งโครงการลงทุนในภูมิภาคเริ่มทำการผลิต อย่างเช่นโรงปูนขนาด 0.9 ล้านตัน ในกัมพูชาซึ่งจะเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 2/2558 และโรงปูนขนาด 1.8 ล้านตันในอินโดนีเซียซึ่งจะเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 3/2558 โดยอุปทานที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองอุปสงค์ของการใช้ปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดอาเซียนได้ นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ปี 2557 ลง 21% เหลือ 3.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการลดลง 12% จากปี 2556 เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจปิโตรเคมียังมีความเสี่ยง โดยธุรกิจวัสดุก่อสร้างได้รับปัจจัยลบจากการชะลอลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีได้รับผลกระทบจากราคานาฟทา (Naphtha) ที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุนสต๊อกปิโตรเคมีอีกครั้งในช่วงสิ้นปี แนวโน้มผลประกอบการในช่วง 6 เดือนหลังปี 2557 จะลดลงเทียบกับ 6 เดือนหลังปี 2556 เป็นผลจากปริมาณขายปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่ลดลง และการตั้งสำรองผลขาดทุนสต๊อกสินค้าของธุรกิจปิโตรเคมี สำหรับคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 3/2557 ประเมินไว้ที่ 7.25 พันล้านบาท ลดลง 26% จากงวดเดียวกันปีที่แล้ว และลดลง 15% จากไตรมาสที่แล้ว สาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเกิดจากบริษัทไม่มีเงินปันผลในระดับสูงในไตรมาส 3/2557 แตกต่างจากใน ไตรมาส 2/2557 ที่ได้รับจากโตโยต้า (ประเทศไทย), ราคานาฟทาที่ลดลงในตลาดโลกจะส่งผลให้เกิดผลขาดทุนสต๊อกสินค้าปิโตรเคมีประมาณ 320 ล้านบาทในไตรมาส 3/2557 รวมทั้งปริมาณขายปูนซิเมนต์ในประเทศของทั้งอุตสาหกรรมลดลง 3% จากปีที่แล้ว ตามอุปสงค์โดยรวมที่ลดลงของทั้งภาครัฐที่ชะลอเปิดประมูลโครงสร้างพื้นฐานภายหลังเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและภาคเอกชนที่เลื่อนตัดสินใจลงทุนงานก่อสร้างเพื่อรอดูสถานการณ์ภายในประเทศ ในขณะที่ราคาขายปูนซิเมนต์ในประเทศที่ทรงตัว 1,950 บาทต่อตัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงเรื่องการปิดซ่อมบำรุงโรงงานกระดาษกดดันอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจกระดาษในไตรมาส 3/2557 นักวิเคราะห์ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในประเทศและในภูมิภาคอาเซียนเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัท และผลักดันให้เกิดการเคิบโตในระยะยาว โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนระยะยาวในธุรกิจหลักๆของบริษัททั้งรูปแบบซื้อกิจการ และสร้างโรงงานใหม่ โดยกำหนดงบลงทุนในรอบ 5 ปีข้างหน้า (ปี 2558-2562) ไว้ที่ 2-2.5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ย 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปีใกล้เคียงกับงบประมาณที่ใช้ขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียนในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนในอาเซียนที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทโดยเฉพาะธุรกิจปูนซิเมนต์ และจะเป็นปัจจัยผลักดันใน 3 ปีข้างหน้า ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี และในกัมพูชา มีกำลังการผลิต 9 แสนตันต่อปี จะเริ่มต้นในปี 2558 ขณะที่ประเทศเมียนมาร์ กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี จะเริ่มต้นสร้างรายได้ในปี 2559 และ ประเทศลาว ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี จะสร้างรายได้ในปี 2560 ทั้งนี้ กำลังการผลิตใน 4 ประเทศเทียบเท่า 26% ของกำลังการผลิตปัจจุบันโดยรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทและมีความเสี่ยงต่ำในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ ดังเช่น เมียนมาร์ และ กัมพูชา และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่มีช่องว่างเติบโตของปริมาณการใช้ปูนซิเมนต์ ดังเช่น อินโดนีเซีย “แม้ฝ่ายวิจัยจะลดประมาณการผลประกอบการ แต่บริษัทยังคงมีจุดเด่นในด้านการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียนช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทและแตกต่างกว่ารายอื่นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่พึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้แนวโน้มของสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลักที่อยู่ในระดับสูงดังเช่นปัจจุบันได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยูโรโซนจะเป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มเติบโตของผลประกอบการในปี 2558” Tags : ปูนซิเมนต์ไทย • SCC • นักวิเคราะห์ • กำไร