"เอสซีจี"ตั้งงบลงทุนช่วง5ปี วงเงิน2-2.5แสนล้านบาท เน้นโครงการใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี-กระดาษ และปิโตรเลียม หวังพัฒนาด้านนวัตกรรม ดันบริษัทขึ้นแท่นผู้นำในอาเซียน มั่นใจอีบิทด้าปีนี้สูงกว่าปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุระดับ 50,000 ล้านบาท บริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน) เปิดแผนการลงทุนในช่วง 5 ปีนับจากนี้ไป โดยยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่ ประกอบด้วย ธุรกิจเทคโนโลยี กระดาษ ปิโตรเคมี และวัสดุดีไซน์ พร้อมเน้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เป้าหมายต่อยอดธุรกิจ และสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยว่า สำหรับแผนการลงทุนตั้งปี 2558-2562 เอสซีจี เตรียมงบการลงทุนจำนวน 2-2.5 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการที่อยู่ในวิสัย และมีการพิจารณาไปแล้วเบื้องต้น โดยยังไม่รวมการซื้อกิจการใหม่ๆ ส่วนรอบปีที่แล้วบริษัทจัดสรรลงทุนไว้ 2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจที่บริษัทสนใจ ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยี กระดาษ ปิโตรเคมี และวัสดุดีไซน์ และมีความสนใจลงทุนแบบสร้างโครงการใหม่ ทั้งในยุโรป และสหรัฐ ซึ่งได้เจรจามาระยะหนึ่งแล้ว หลังจากที่ผ่านมา บริษัทมีการซื้อกิจการค่อนข้างมาก หรือประมาณ 2.15 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการซื้อกิจการ 58 บริษัท สาเหตุที่เอสซีจีสนใจเข้าลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี กระดาษ รวมถึงปิโตรเคมี เพราะส่วนหนึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทอยู่แล้ว ส่วนธุรกิจเทคโนโลยี จะนำมาต่อยอดด้านการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนระยะยาว และสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอาเซียนได้ตามเป้าหมาย "ปี 2557 บริษัทจัดสรรงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ 4,000 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทใช้งบด้านการวิจัยและพัฒนาไป 2,000 ล้านบาท จึงคาดว่าทั้งปีน่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ใช้งบด้านนี้ 2,600 ล้านบาท" นายกานต์ กล่าว เล็งอนุมัติ4โครงการในตปท. นอกจากนี้ บริษัทได้อนุมัติเงินลงทุนสำหรับโครงการกรีนฟิลด์และบราวน์ฟีลด์ 2.65 พันล้านดอลลาร์ และยังมีอีก 4 โครงการที่ยังไม่ได้อนุมัติ อาทิ โครงการปิโตรเคมิคอล ที่เวียดนาม โครงการที่พม่า และกัมพูชา คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนของโครงการที่ยังไม่ได้อนุมัติในปลายปีนี้ หรือไตรมาส 1 ปี 2558 หากได้ข้อสรุปเรื่องการลงทุน บริษัทจะมีการจัดทำงบประมาณการลงทุน และจัดการเรื่องการเงินอีกครั้ง "ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทซื้อกิจการค่อนข้างมาก ใช้เงินไป 2.15 พันล้านดอลลาร์ เป็นจำนวน 58 บริษัท ซึ่งส่วนมากเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน แต่ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อยู่ แต่รอบนี้ จะเน้นลงทุนแบบโครงการใหม่ หลังจากที่พบว่าจำนวนธุรกิจที่น่าเข้าซื้อกิจการมีลดลง" ปัจจุบัน สินทรัพย์ของบริษัทอยู่ในต่างประเทศประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นการสินทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียนประมาณ 2.4 พันล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 17% ของสินทรัพย์ทั้งหมด วัสดุก่อสร้าง-ปิโตรดันอิบิทด้าพุ่ง นายกานต์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะมีกำไรก่อนหักภาษี ค่าเสื่อม และดอกเบี้ย หรืออิบิทด้า มากกว่าปีที่แล้ว ที่มีอิบิทด้า 50,809 ล้านบาท โดยงวด 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีอิบิทด้า 25,056 ล้านบาท การเติบโตของอิบิทด้า มาจากธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจปิโตรเคมีที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมี ที่น่าจะทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ ดีขึ้นมาก รวมถึงสัดส่วนของสินค้ามูลค่าเพิ่ม หรือ HVA ที่มากขึ้น และสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้น 28% ในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่สินค้า Commodity มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18% ทั้งนี้ สัดส่วนสินค้า HVA มีสัดส่วน 34% ของยอดขาย ที่เหลือ 66% มาจากสินค้า NON HVA ขณะเดียวกันธุรกิจปิโตรเคมีดีขึ้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 นี้ เนื่องจากมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด) สูงขึ้นจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยสเปรดเม็ดพลาสติก HDPE กว่า 800 ดอลลาร์ต่อตัน และสเปรดเม็ดพลาสติกโพลิโพพิลีน (PP) ได้ 900 ดอลลาร์ต่อตัน ช่วยผลักดันผลประกอบการ 2 ไตรมาสหลังนี้ กรณีการอนุมัติงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่งอนุมัติ 6.8 หมื่นล้านบาท คาดว่ารัฐบาล จะเร่งรัดการลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคเอกชน และเศรษฐกิจโดยรวม แนวโน้มความต้องการใช้ปูนดีขึ้น นายกานต์ กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ได้รับการยืนยันจากผู้รับเหมาแล้วว่า ต้องการลงทุนในโครงการใดบ้าง ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตซีเมนต์ ทั้งหมด 22.5-22.7 ล้านตันต่อปี ขณะนี้ใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อนที่ความต้องการการใช้ปูนลดลง ซึ่งบริษัทขจัดความเสี่ยงด้วยการส่งออกในต่างประเทศมากขึ้น "เชื่อว่าแนวโน้มความต้องการใช้ปูนในช่วงที่เหลือของปีน่าจะดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาลตั้งใจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐาน"นายกานต์ กล่าว นอกจากนี้ นายกานต์ ยังกล่าวด้วยว่า กรณีค่าเงินบาทผันผวน บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงด้วยการเฮดจิ้งอยู่แล้ว ประมาณ 50-70% ของยอดขายรวม ปัจจุบัน บริษัทเฮดจิ้งอยู่ที่ 29% ของยอดขายรวม หรือคิดเป็นมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ในกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนการทำเฮดจิ้งเพื่อรักษากำไร ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง บริษัทจะทำเฮดจิ้งน้อยลง Tags : เอสซีจี กรุ๊ป • กานต์ ตระกูลฮุน • ลงทุน • ตปท. • นวัตกรรม • อาเซียน