"ประดิษฐ์"ขึ้นเวทีนักธุรกิจอาเซม จี้อียูเจรจาเอฟทีเอกับเอเชียก่อนสาย การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ครั้งที่ 10 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 15-17 ต.ค. นอกจากจะมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมแล้ว ยังมี นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะตัวแทนนักธุรกิจเอเชีย ปาฐกถาต่อหน้านักธุรกิจชั้นนำจากทั้งยุโรปและเอเชีย บนเวทีคู่ขนานผู้นำอาเซม คือ Asia-Europe Business Forum ด้วย นายประดิษฐ์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นตัวแทนภาคธุรกิจทั้งหมดของเอเชีย เห็นว่า ภาคเอกชนของยุโรปจะต้องคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ของเอเชีย เพราะหากไม่รีบฉกฉวยโอกาสนี้ จะทำให้เกิด "การเบนเข็มทางการค้าครั้งสำคัญของเอเชียไปจากสหภาพยุโรป" ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีการทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียด้วยกันเอง ส่งผลให้ลดอุปสรรคทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ หลายอย่าง นอกเหนือไปจากกำแพงภาษี "ปัจจุบันมีข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศในเอเชียด้วยกันเองที่กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนต่างๆ มากกว่า 150 ฉบับ อีกทั้งยังมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคของอาเซียน (Regional Comprehensive Economic Partnership - RCEP) ที่กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศกับจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์" นายประดิษฐ์ ย้ำว่า RCEP เป็นหนึ่งในข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดของโลก ครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก คิดเป็นหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ จีดีพีของโลก หรือ 40 เปอร์เซ็นต์ของการค้าโลก ฉะนั้นหากไม่รีบคว้าโอกาสตั้งแต่ตอนนี้ หรือปล่อยไว้นานไป จะเป็นเรื่องยากลำบากเพิ่มมากขึ้นสำหรับสหภาพยุโรปที่จะเจาะเข้ามาเมื่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกก่อตัวและฝังรากลึกอย่างมั่นคง ทั้งนี้สหภาพยุโรป (อียู) ควรจะฉวยโอกาสในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการประสานรวมกันของเอเชีย เพราะความร่วมมือกันแบบภูมิภาคนิยมของเอเชียไม่ใช่การสร้างกลุ่มพันธมิตรแบบปิด แต่เป็นการสร้างตลาดร่วมที่เอื้อต่อการลงทุนและการค้า นายประดิษฐ์ ระบุเป็นนัยถึงการเจรจาทางการค้ากับประเทศไทยที่ชะงักงันไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยบอกว่า ขอให้นักธุรกิจยุโรปช่วยกระตุ้นผู้นำทางการเมืองของตนให้ช่วยกันทำให้นักการเมืองหันมาให้ความสนใจกับประเด็นที่ใหญ่กว่าที่พวกเขามองข้ามไปในบางครั้ง อีกทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจคือวิธีการที่ดีที่สุดที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้คนอย่างยั่งยืนมากกว่านโยบายต่างๆ จากภาครัฐ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังร้องขอให้นักธุรกิจยุโรปผลักดันให้ผู้นำทางการเมืองในปัจจุบันเดินหน้าต่อไปด้วยจุดมุ่งหมายระยะยาวที่ชัดเจนเหมือนกับผู้นำทางการเมืองในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยบอกว่า ผู้นำทางการเมืองต้องมีความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวที่จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและครอบคลุมระหว่างสหภาพยุโรปกับเอเชีย ด้วยเหตุผลเดียวกับที่ผู้นำในยุโรปยึดถือในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือ เพื่อความรุ่งเรืองและสันติภาพที่ยั่งยืน "หลายประเทศในเอเชียอยากจะเห็นความสมดุลในภูมิภาคของกลุ่มเศรษฐกิจการเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และพวกเขาอยากจะมีความสมดุลของเครือข่ายของพันธมิตรคู่ค้าระดับโลก เพราะเสถียรภาพในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในโลกนี้ในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เป็นผลสืบเนื่องมาจากความสมดุลทางการเมืองที่เกิดขึ้นในโลกนั่นเอง" นายประดิษฐ์ กล่าวด้วยว่า สหภาพยุโรปไม่ได้เป็นคู่ค้ารายใหญ่ 3 อันดับแรกของประเทศต่างๆ ทั้งหมดในเอเชียเหมือนอย่างที่เคยเป็น นอกจากนั้น นับตั้งแต่ปี 2555 สหภาพยุโรปได้สูญเสียตำแหน่งคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีนไปให้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม การรวมตัวของยุโรปกับเอเชีย และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดจากการผนึกกำลังดังกล่าว "เป็นยาที่มีสรรพคุณดีที่สุดที่เราสามารถจัดให้กับผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะยากจน และระบบเศรษฐกิจที่มีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ" ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจสหภาพยุโรปที่อยู่ในภาวะชะงักงัน มีการประมาณการว่า ถ้าการเจรจาการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปกับเอเชียที่กำลังดำเนินการอยู่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ จะทำให้เกิดการจ้างงานในสหภาพยุโรปทันทีกว่า 2 ล้านตำแหน่ง "นับวันก็ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปให้ฟื้นตัวด้วยการกระตุ้นการบริโภคภายในเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีแรงกระตุ้นที่มาจากการเปิดการค้าเสรี" นายประดิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย Tags : ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ • รมช.คลัง • พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา • เอเชีย • เอฟทีเอ • อียู