ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Note 10 โดยแบ่งเป็นสองขนาด Note 10 และ Note 10+ เป็นครั้งแรก จับตลาดผู้ที่ต้องการโทรศัพท์ปากกาแต่ไม่ชอบที่ Note รุ่นเดิมๆ มีขนาดใหญ่เกินไป สเปคของ Note 10 มีดังนี้ ชิป Exynos 9825 แรม LPDDR4X รุ่น 10+ มีทั้ง 8GB และ 12GB รุ่น 10+ มีเฉพาะ 12GB สตอเรจ 256GB/512GB รุ่น 10+ สามารถใส่ microSD แทนซิมที่สองได้ รุ่น 10 ใส่ไม่ได้ รุ่น 10 หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2280x1080 รุ่น 10+ หน้าจอ 6.8 นิ้ว 3040x1440 รุ่น 10 แบตเตอรี่ 3500mAh รุ่น 10+ 4300mAh รองรับ Super Fast Charging รับพลังงานสูงสุด 45 วัตต์ กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.2 กล้องหลัง กว้างพิเศษ 123 องศา รูรับแสง f2.2 16 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 77 องศา f1.5 พร้อมกันสั่น, เทเล 45 องศา f2.1 กันสั่น 12 ล้านพิกเซล รุ่น 10+ มีกล้องหลังจับความลึก รองรับ Wi-Fi 1024QAM ความเร็วสูงสุด 1.2Gbps ทั้งดาวน์โหลดและอัพโหลด ตัวเครื่องย้ายปุ่มทั้งปรับความดังและปุ่มปิดเปิดไปไว้ทางด้านซ้าย โดยปุ่ม Bixby ที่เคยแยกเป็นปุ่มเฉพาะนั้นหายไปแล้ว แม้จะคอนฟิกให้เรียกมาใช้งานได้ก็ตาม สำหรับ S-Pen เพิ่ม accelerometer และ gyrometer สามารถแกว่งเพื่อส่งคำสั่งกลางอากาศได้ เรียกว่า air command สามารถส่งคำสั่งไปยังแอปต่างๆ เช่น กล้องสลับกล้องหน้า/หลัง, ซูม หรือแอปเพลงสามารถเปลี่ยนเพลงได้จากปากกา ไปจนถึงแอปนำเสนอก็ใช้เลื่อนสไลด์ได้ ตัวปากกามีอายุแบตเตอรี่ 10 ชั่วโมง ตอนนี้ซัมซุงส่งชุดพัฒนาให้นักพัฒนาแล้วสามารถเข้าถึงเซ็นเซอร์ของ S-Pen ได้ เช่นการควบคุมเกม ตอนนี้มีพันธมิตรร่วมแล้วคือ YouTube Premium ที่สามารถควบคุมวิดีโอผ่านทาง S-Pen ได้ ฟีเจอร์ด้านวิดีโอ Galaxy Note 10 เพิ่มมา เรียกว่า Pro-grade video สามารถใส่เอฟเฟคให้กับวิดีโอ เช่น ฟิลเตอร์หน้าชัดหลังเบลอ การอัดเสียงมีฟีเจอร์ Zoom-In Mic ทำให้ตัดเสียงรบกวนรอบๆ และอัดเสียงเฉพาะในภาพได้ และโหมด super-steady ที่รองรับการอัดวิดีโอนิ่งเหมือนมืออาชีพ ตัวแอปวิดีโอที่มากับ Note 10 จะสามารถตัดต่อเชื่อมวิดีโอหลายไฟล์เข้าด้วยกัน สร้าง transition ระหว่างวิดีโอ สามารถวาดภาพลงไปในวิดีโอโดยภาพที่วาดจะเป็นภาพเคลื่อนไหว ลูกเล่น AR Doodle ทำให้แอปกล้องสามารถวาดภาพที่ลอยอยู่ในอากาศโดยเกาะกับใบหน้าของคนในภาพ หรือจะเกาะกับพื้นที่ในห้องก็ได้เหมือนกัน ทำให้สามารถสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนในโลก AR ฟีเจอร์สแกนวัตถุ 3 มิติ มีเฉพาะใน Note 10+ ที่มีกล้องสามมิติมาด้วย สามารถสแกนวัตถุด้วยการถ่ายรูปไปรอบๆ ตัว Note 10+ แล้วทำเป็นไฟล์สามมิตินำไปพิมพ์ในพรินเตอร์สามมิติหรือนำมาเป็น avatar ให้ทำท่าเลียนแบบคน DeX รุ่นอัพเดต ทำให้ Galaxy Note 10 สามารถใช้ DeX บนพีซีโดยใช้สาย USB เพียงเสีนเดียวต่อกับพีซี แล้วลงแอป DeX ซึ่งทำหน้าที่เหมือนแอป remote desktop เข้าไปทำงานบน Galaxy Note 10 ต่อได้เลย ผมทดสอบพิมพ์ภาษาไทยแล้วพบว่าใช้งานได้แม้ตัวพีซีไม่ได้ติดตั้งภาษาไทยไว้ก็ตาม แนวทางนี้ทำให้เราสามารถใช้พีซีเป็นเพียงจอและคีย์บอร์ดสำหรับโทรศัพท์เท่านั้น และยังไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมใดๆ เพิ่มเติม โดย DeX สำหรับพีซีนี้รองรับทั้งแมคและวินโดวส์ หรือหากไม่ได้ใช้ DeX ตัว Note 10 ก็มีฟีเจอร์ Link to Windows เมื่อเชื่อมต่อกันแล้ว สามารถตอบข้อความในโทรศัพท์, mirror หน้าจอจากโทรศัพท์เข้ามาในพีซี, และภายในปีนี้จะสามารถรับโทรศัพท์จากวินโดวส์ได้เลย ฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการใช้งานร่วมกับพีซีคือการเชื่อมต่อผ่านคลาวด์เมื่อล็อกอินผ่านบัญชีไมโครซอฟท์ ทำให้สามารถซิงก์ภาพล่าสุดจากโทรศัพท์มาใช้งานบนพีซีได้ทันที หรือการซิงก์ข้อความก็ได้เช่นกัน ราคา Galaxy Note 10 เริ่มต้น 949 ดอลลาร์ และ Note 10+ เริ่มต้น 1099 ดอลลาร์ เริ่มขายในสหรัฐฯ 23 สิงหาคมนี้ Topics: SamsungGalaxy Note 10